วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2562

ความต่างระหว่าง ความจริง กับข้อเท็จจริง



ความจริง กับข้อเท็จจริง


สองคำนี้มีความเเตกต่างกัน และพระเจ้าใช้ทั้งสองคำนี้
และคนส่วนมากมักแยกไม่ออกระหว่าง ความจริงและ ข้อเท็จจริง
เมื่อพระคัมภีร์เขียนว่าเราต้องพูดความจริงด้วยใจรัก

ผู้อ่านมักจะคิดว่าหมายถึงห้ามโกหก  ด้วยความรักจึงต้องพูดตรงๆตัดสินกันไป พังก็ไม่เป็นไรขอให้พูดความจริง

การพูดแบบนั้นเรียกว่าการพูดข้อเท็จจริง
ซึ่งบรรทัดฐานแห่งข้อเท๊จจริงคือพระบัญญัติพระเจ้า

มีเพื่อประหารและพิพากษา

พระเจ้าจึงสอนว่า พระบัญญัติ ต้องใช้ด้วยความรัก
รม 13:10 ความรักไม่ทำอันตรายเพื่อนบ้านเลย เหตุฉะนั้นความรักจึงเป็นที่ให้พระราชบัญญัติสำเร็จแล้ว
จึงจะเป็นการใช้ที่ถูกต้อง  มิเช่นนั้นจะมีแต่การพิพากษากันร่ำไป
เพราะมนุษย์  กินผลไม้แห่งความรู้ดีรู้ชั่ว
จึงตัดสินกันด้วยความรู้ดีรู้ชั่ว
บางครั้งก็ถึงกับตัดสินพระบัญญัติพระเจ้าว่าชั่วร้ายด้วย
และตั้งบัญญัติตนเองขึ้นแทน

การพูดความจริงคืออะไร  แตกต่างจากการพูดข้อเท็จจริงอย่างไร

การพูดความจริง คือ  ความจริงที่เราต้องดำเนินชีวิตเป็นไป

ยกตัวอย่างนะครับ เวลามีการขัดเเย้งกันเกิดขึ้น เช่นกับคนรักหรือในครอบครัว
หากเรายกข้อเท็จจริงขึ้นมาคุย เพื่อหักล้าง บางคนอาจจะพังหรือเสียคนไปเลยก็ได้ เพราะข้อเท็จจริงทำให้เห็นถูกผิดชัดเจน

ฉะนั้นเราจึงต้องคุยกันบนหลักของความจริง
หลักของความจริงคือเราจะเดินกันต่อไปด้วยกันอย่างไร

นี่เป็นคำตอบของการพูดความจริงด้วยใจรัก

อย่างนั้นการพูดความจริงเราต้องลืมข้อเท็จจริงหรือ
เราไม่ลิมข้อเท็จจริง แต่เรา มีความรัก เราจึงพูดในความจริงมากกว่าข้อเท็จจริง

ข้อเท็จจริงคือทุกคนเป็นคนบาป  ทุกคนตกนรก

ความจริงคือ แล้วเราจะไปกันต่อได้อย่างไร  พระเยซูเห็นแก่ความจริง
มากกว่าข้อเท็จจริง  จึงมาตายบนไม้กางเขน  เพื่อเราจะไปกันต่อได้  สำแดงความจริง
ที่อยู่เหนือเหตุผลแห่งข้อเท็จจริง  ของการรู้ดีรู้ชั่ว
บางคนไม่เข้าใจจึงบอกพระเยซูไม่แฟร์   ไม่เห็นแก่ข้อเท็จจริง คนบาปไม่ควรได้โอกาส

ความจริงด้วยใจรัก จึงมากกว่าข้อเท็จจริงจะจำกัดได้


การพูดความจริงแล้วต้องโกหก  เพื่อเอาชีวิตรอด คือความจริงด้วยใจรักไหม?

ในบัญญัติสอนว่า อย่าเป็นพยานเท็จ ใส่ร้ายเพื่อนบ้าน คือทำชาวบ้านเดือดร้อน

ไม่ได้หมายความว่าอย่าโกหก
คุณจำเป็นต้องโกหก    เพื่อชีวิต  ไม่ใช่เพื่อให้ใครเดือดร้อน  ไม่ใช่สิ่งผิดบัญญัติ  เพื่อการค้าขาย ต้องบอกราคาต้นทุนแบบโกหก    บอกว่าไม่หิว  หรือสบายดี  เพื่อคนอื่นสบายใจ  เพื่อชีวิตจะไปต่อ  เพื่อลบบาปเพื่อนบ้าน  มิใช่เอาเอาข้อเท็จจริงไปขว้างหินใส่เขาอย่างเดียว

เพราะคนเราโกหกกันทั้งนั้น สดด116:11 ข้าพเจ้ากล่าวด้วยความเร่งร้อนว่า "คนเรานี้เป็นคนโกหกทั้งนั้น"
แต่อย่าโกหกเพื่อให้คนอื่นเดือดร้อน มิเช่นนั้นเป็นการผิดบัญญัติ

แต่บางอย่างเราไม่พูดข้อเท็จจริงเลือกพูดความจริงด้วยใจรัก  เพื่อชีวิตจะดำเนินต่อ
สภษ 17:9 
บุคคลผู้ปิดบังการละเมิดก็เสาะหาความรัก

บทเรียนจาก ดาวิดเองต้องโกหก ด้วยการแกล้งบ้า เพื่อไม่ถูกฆ่าตาย
หรือเราต้องเลี่ยง ด้วยการให้ข้อมูลอีกด้าน
เช่นพระเยซู ถูกทดลองด้วยข้อเท็จจริง ที่ต้องขว้างหินใส่หญิงโสเภณี
แต่พระเยซูเลือกหาทางออกด้านความจริง  คือชีวิตต้องไปต่อ
อับราฮัมและอิสอัค เลือกตอบความจริงบางมุม เพื่อชีวิตจะไปต่อได้


พระเจ้าให้บัญญัตืมาแล้ว เราจะใช้ ข้อเท็จจริง หรือใช้โดยความจริงด้วยใจรัก
เป็นสิทธิของมนุษย์

ผลไม้รู้ดีรู้ชั่ว กับผลไม้แห่งชีวิต   การพูดความจริงด้วยใจรัก คือการเลือกที่จะกินผลไม้แห่งชีวิต
มากกว่าการเลือกผลจากการเอาดีเอาชั่ว นั่นเอง

วันอังคารที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2562

เปาโลยืนยันตัวเองว่าตนนั้นอยู่ในฝ่าย ธรรมบัญญัติ

เปาโลยืนยันตัวเองว่าตนนั้นอยู่ในฝ่าย ธรรมบัญญัติ

เปาโลได้เดินทางไปยังกรุงเยรูซาเล็มท่ามกลางความเสี่ยง
เพราะที่เยรูซาเล็มมีคนคอยปองร้ายเปาโลอยู่

เพราะเขาได้ยินว่า ท่านสั่งสอนให้คนเลิกสุหนัต และเลิกประพฤติตามธรรมบัญญัติ
ซึ่งเหตุการณ์นี่อยู่ในพระธรรม กจ 21

18 ครั้นรุ่งขึ้น เปาโลกับเราทั้งหลายจึงเข้าไปหายากอบ และพวกผู้ปกครองก็อยู่พร้อมกันที่นั่น

19 เมื่อเปาโลคำนับท่านเหล่านั้นแล้ว จึงได้กล่าวถึงเหตุการณ์ทั้งปวงตามลำดับ ซึ่งพระเจ้าทรงโปรดกระทำในหมู่คนต่างชาติโดยการปรนนิบัติของท่าน

20 ครั้นคนทั้งหลายได้ยินจึงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า และกล่าวแก่เปาโลว่า "พี่เอ๋ย ท่านเห็นว่ามีพวกยิวสักกี่พันคนที่เชื่อถือ และทุกคนยังมีใจร้อนรนในการถือพระราชบัญญัติ

21 เขาทั้งหลายได้ยินถึงท่านว่า ท่านได้สั่งสอนพวกยิวทั้งปวงที่อยู่ในหมู่ชนต่างชาติให้ละทิ้งโมเสส และว่าไม่ต้องให้บุตรของตนเข้าสุหนัตหรือประพฤติตามธรรมเนียมเก่านั้น

22 เรื่องนั้นเป็นอย่างไร คนเป็นอันมากจะต้องมาประชุมกัน เพราะเขาทั้งหลายจะได้ยินว่าท่านมาแล้ว

หลังจากข้อ 22 ไม่มีคำตอบของเปาโลว่าท่านจะว่าอย่างไร
ตอนนี้เหมือนโดนตัดหายไป
23 เหตุฉะนั้นจงทำอย่างนี้ตามที่เราจะบอกแก่ท่าน คือว่าเรามีชายสี่คนที่ได้ปฏิญาณตัวไว้

24 ท่านจงพาคนเหล่านั้นไปชำระตัวด้วยกันกับเขาและเสียเงินแทนเขา เพื่อเขาจะได้โกนศีรษะ คนทั้งหลายจึงจะรู้ว่าความที่เขาได้ยินถึงท่านนั้นเป็นความเท็จ แต่ท่านเองดำเนินชีวิตให้มีระเบียบและรักษาพระราชบัญญัติอยู่ด้วย
ตรงนี้ผู้เชื่อ  ที่ช่วยเปาโลได้ให้เปาโล ไปโกนหัวเป็นนาศีร์
และรักษาชีวิต 7 วันตามธรรมบัญญัติ
เพื่อคนทั้งปวงจะเห็นและเข้าใจว่า เปาโลนั้นยังเดินตามธรรมบัญญัติ

ใน กดว 6 :
18 และผู้เป็นนาศีร์จะโกนศีรษะแห่งการปลีกตัวนั้นที่ประตูพลับพลาแห่งชุมนุม และนำเอาผมที่ศีรษะแห่งการปลีกตัวนั้นไปใส่ไฟที่อยู่ใต้เครื่องสันติบูชาเสีย

จากการที่ท่านปฎิฎาณครั้งนี้เพื่อจะบอกโลกว่า
ท่านไม่ได้ปฎิเสธ  เรื่องการสุหนัต หรือรักษาพระบัญญัติ อย่างที่หลายคนเข้าใจผิด


การเข้าใจผิดนั้น ไม่ได้มีในยุคของเปาโลเท่านั้น ปัจจุบันคนอ่านหนังสือเปาโลก็ยังคิดแบบนั้นอยู่ ว่าท่านไม่เอาสุหนัตและพระบัญญัติ

ดังที่เปโตรเคยเตือนผู้ที่อ่านหนัะงสือเปาโลในยุคนั้นแล้วว่า
2ปต3:16 ดังที่เปาโลน้องที่รักของเราได้เขียนจดหมายถึงท่านทั้งหลายด้วย ตามสติปัญญาซึ่งพระองค์ได้ทรงโปรดประทานแก่ท่านนั้น

16 เหมือนในจดหมายของท่านทุกฉบับ ท่านได้กล่าวถึงเหตุการณ์เหล่านั้น และในจดหมายนั้นมีบางข้อที่เข้าใจยาก ซึ่งคนทั้งหลายที่ไม่ได้เรียนรู้และไม่แน่นอนมั่นคงนั้นได้เปลี่ยนแปลงเสีย เหมือนเขาได้เปลี่ยนแปลงข้ออื่นๆในพระคัมภีร์ จึงเป็นเหตุกระทำให้ตัวพินาศ

17 เพราะเหตุนั้น พวกที่รัก เมื่อท่านทั้งหลายรู้เรื่องนี้ก่อนแล้ว ท่านก็จงระวังให้ดี เกรงว่าท่านอาจจะหลงไปกระทำผิดตามการผิดของคนชั่ว และท่านทั้งหลายจะสูญเสียความหนักแน่นมั่นคงของท่าน
ท่านอ่านหนังสือของเปาโลแล้วท่านรู้สึกว่า  เปาโลไม่เอาสุหนัต และบัญญัติพระเจ้า
ท่านกำลังเข้าใจผิดแล้ว


เปาโลฟื้นมาบอกท่านไม่ได้  แต่ท่านโกนหัว ใน กจ 21 เพื่อเป็นพยานว่าท่านไม่ได้คิดอย่างนั้น
แต่ถ้าคนรุ่นหลังยังคงคิดแบบนั้น ท่านคงต้องเอาเปาโลไปโกนอีกเพื่อพิสูจน์ ครั้งแล้วครั้งเล่า
จนกว่าท่านจะเชื่อ







วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

สิทธิอำนาจงานเขียนในพระคัมภีร์


สิทธิอำนาจงานเขียนในพระคัมภีร์

 พระคัมภีร์ประกอบไปด้วยงานเขียนในวัตถุประสงค์ที่แตกต่างไปในหลายลักษณะ ตามที่พระเจ้าทรงดลใจให้เขียน  และงานทรงคุณค่าเหล่านี้ถูกรวบรวมมาเป็นพระคัมภีร์

แต่เดิมนั้นมีการเขียนเรื่องราวของพระเจ้ามาตั้งแต่สมัยที่มนุษย์เริ่มมีการประดิษฐ์ตัวอักษรซึ่งมีตกทอดมากันหลายเล่ม  แต่ผมขอยกถึงงานเขียนที่นำมารวมเป็นพระคัมภีร์เท่านั้นนะครับ

พิจารณางานเขียนในพระคัมภีร์เดิม

ก่อนพระเยซูเสด็จมานั้น ม้วนหนังสือทั้งหมดที่รวบรวมมาในหมวดที่ชาวยิวเรียกว่า "ทานัค"
TaNaK (ฮีบรู: תנ"ך)  คือ 39 เล่มที่ได้รวมเข้ามาเป็นพระคัมภีร์คัมภีร์ปัจจุบันหรือที่เรียกว่าพระคัมภีร์ไบเบิ้ลอยู่ในหมวดพันธสัญญาเดิม
ซึ่งการแปลนั้นมาจากภาษาต้นฉบับโดยตรงคือภาษา ฮีบรู และมีบางเล่มเป็นภาษาอารเมก เช่นดาเนียล

Tanak เป็นตัวย่อของพระคัมภีร์ที่ประกอบด้วยอักษร (T+N+K)

1.T = Torah (תורה) หมายถึง คำสอน หรือกฎหมาย ของพระยาห์เวห์ ของเรา

 
2.N = Nevi'im (נביאים) หมายถึง Prophets ผู้เผยพระวจนะ 

3.K = Ketuvim (כתובים
หมายถึง Writings งานเขียน, วรรณกรรม และรวมไปถึงประวัติศาสตร์

นอกจากนั้นก็ยังมีหนังสือที่พวกรับไบและครูสอนศาสนาเขียนขึ้น เช่นหนังสือ ทัลมุด תַּלְמוּד talmūd  เป็นหนังสือประกอบความรู้จากทานัคมีการถามตอบและตั้งข้อสังเกตต่างๆ หรือหนังสือ มิชนา มิชนาห์"   מִשְׁנָה Mishnah ที่เขียนอธิบายพระคัมภีร์ทานัค โดยยุคของพระเยซูเองก็มีการกล่าวถึงคำสอนเหล่านี้ ซึ่งมีการสรุปออกมาอย่างเช่น อะไรคือบัญญัติข้อใหญ่  ซึ่งผู้ที่ศึกษาก็จะตอบได้ว่าคือการรักพระเจ้าสุดใจและการรักเพื่อนบ้าน ซึ่งพระเยซูก็ยืนยันในสิ่งนั้น และบางข้อบางตอนพระเยซู ก็ไม่ยอมรับเช่น กฎว่าด้วยการกินอาหารแล้วไม่ล้างมืออาหารจะมลทิน  พระเยซูตรัสว่า เป็นการเอาคำสอนมนุษย์มาตู่ว่าเป็นพระดำรัสพระเจ้า

ฉะนั้นสิ่งที่ นอกเหนือจาก ทานัค เป็นการเขียนมาจากมนุษย์บ้างมาจากพระวิญญาณบ้าง ต้องวินิฉัย
ซึ่งจะทำให้ผู้ที่เชื่อหลงไปได้เช่น การแปลทางภาษาผิดพลาด หรือการแปลความอย่างไม่เข้าใจบริบทและนำไปใช้ ซึ่งเหล่านี้เกิดผลเสียหาย 



แต่พระคัมภีร์ทานัค นั้นมีต้นฉบับที่สามรถพิสูจน์ได้ที่สุดจากภาษาที่เขียน ที่น่าเชื่อถือที่สุด
ต่างจากพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่  เช่นพระเยซูตรัสเป็นภาษาอารเมก แต่ต้นฉบับที่หลายคนยอมรับกลับเป็นภาษาภาษากรีก รวมทั้งหลายๆเล่มในพันธสัญญาใหม่นั้นต้นฉบับก็หาได้เพียงภาษากรีก ทั้งที่เหล่าสาวกสื่อสารกันด้วยภาษาอารเมกเป็นหลักในการสอนพระวจนะพระเจ้าที่เป็นภาษาฮีบรู (ภาษาฮีบรูและอารเมกเป็นภาษาตระกูลเดียวกัน)

หากเปรียบก็เหมือนคนจีนที่เขียนหนังสือภาษาอังกฤษสื่อสารกัน : ซึ่งในความเป็นจริงเราเห็นว่าไม่เป็นเช่นนั้นเพราะคนจีนมีความเข้มข้นในวัฒนธรรม เเม้นฮ่องกงจะถูกปกครองด้วยอังกฤษก็ตาม

ฉันใดฉันนั้น กรีกมาปกครองยิว และยิวเกลียดชังกรีกมากเพราะมาลบหลู่วิหารเอาเลือดหมูมาทาและตั้งรูปซุสในวิหาร ฆ่าฟันเลวีและยิวตายนับหมื่นคนในวิหาร  ภาษากรีกใช้สำหรับทำการค้า แต่การสอนพระวจนะไม่สอนด้วยภาษาต่างประเทศแน่นอน หากจีนมีความเข้มข้นในวัฒนธรรมแล้ว ยิวต้องคูณสองเท่า





ฉะนั้นพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ ซึ่งนักวิชาการค้นพบต้นฉบับที่เก่าที่สุดคือภาษากรีก ก็ย่อมมีการผิดพลาดเปลี่ยนแปลงไปบางประการ ขณะที่นักวิชาการบางกลุ่มก็พบภาษาอารเมก อันเป็นต้นฉบับ
และเมื่อเอาภาษาอารเมกมายืนยันเทียบกับกรีก  ก็พบว่าหลายข้อหลายตอนทีเดียวที่แปลไปอย่างผิดพลาด

เช่น เราคืออัลฟ่าและโอเมก้า ตรงนี้ผิดชัดเจนเพราะ พระเจ้าไม่เกี่ยวข้องกับภาษากรีก และไม่มีพระนามของพระองค์ในความหมายของภาษากรีก  แต่หากแปลว่าเราคือ อเลฟ (อักษรตัวเเรกซึ่งมีความหมายว่าพระเจ้าผู้เป็นหนึ่ง ผู้เป็นจุดเริ่มของสรรพสิ่ง) และ ทัฟ (อักษรตัวสุดท้ายของภาษาฮีบรู ซึ่งหมายความถึงความเป็นนิรัดร์)
จะได้ความหมายที่ถูกต้อง รวมทั้งเบื้องหลังคำนี้คือ ตั้งแต่ตัวอเลฟ ถึง ทัฟ ของภาษาฮีบรูนั้น คือมีพระลักษณะพระเจ้า ทั้งหมด  จึงถูกต้องรับรองตามที่พระวจนะตรัสว่า 
อสย 41:4 ผู้ใดได้ประกอบกิจและกระทำเช่นนี้ เรียกบรรดาชั่วอายุทั้งหลายออกมาตั้งแต่เดิม เราเองคือพระยาเวย์ ผู้เป็นปฐม และกับกาลอวสาน เราคือผู้นั้น


การอ่านพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ จึงต้องอ่านในลักษณะที่ต้องทำความเข้าใจบริบทและภาษาเดิมเพื่อจะตีความออกมา


พิจารณางานเขียนในพระคัมภีร์ใหม่


เมื่อเทียบกับทานัค  (T N K ) แล้ว เราจะพบว่ามีความเหมือนกันต่างกันอย่างไร
1.T = Torah (תורה) หมายถึง คำสอน หรือกฎหมาย  ซึ่งมาจากพระเยซูพระเยซูใช้การสอนส่วนใหญ่ในการอธิบายโทราห์  เพราะพระองค์มิได้มาทำลายโทราห์ แต่มาทำให้สมบูรณ์ สิ่งที่ธรรมบัญญัติเขียนแล้วไม่เข้าใจก็เข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้นผ่านพระเยซู

ส่วนจดหมายอัครฑูตนั้นนับเป็นโทราห์ได้หรือไม่ ตอบได้ว่าไม่ได้ เพราะโทราห์คือคำสอนสูงสุดนั้นมาจากพระเจ้าได้เท่านั้น  และอัครฑูตสอนและตีความจากโทราห์มาเท่านั้น ศาสนศาสตร์ ที่เกิดขึ้นจากการเสด็จมาของพระเยซูก็นับว่าเป็นการตีความของสาวก ไม่ได้นับว่าเป็นโทราห์ของพระเจ้า
โทราห์ของพระเจ้าผ่านผู้เผยพระวจนะและพระเยซูคริสต์ผู้เป็นพระบุตรเท่านั้น

เปาโลเขียนว่า จงถือว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าเขียนนี้คือธรรมบัญญัติ หรือโทราห์
นั่นเป็นเพราะสิ่งที่ท่านสั่งนั้น ตีความมาจากโทราห์แล้ว  ซึ่งฟาริสีก็มักจะสร้างธรรมบัญญัติขึ้นบ่อยๆซึ่งก็มาจากความหวังดี และพระเจ้าไม่ได้รับรองเสมอไป

2.N = Nevi'im (נביאים) หมายถึง Prophets ผู้เผยพระวจนะ  เป็นงานเขียนที่รับจากพระเจ้าโดยตรง และอ้างพระเจ้าโดยตรงคือ "พระเจ้าตรัสว่า" หรือเราสามารถเปรียบได้กับสิ่อสารพระราชโองการของกษัตริย์ อ้างได้ว่านี่คือ พระวจนะพระเจ้าอย่างแท้จริง

ซึ่งเราเห็นได้จากงานเขียนของยอห์น ในหนังสือวิวรณ์ ซึ่งรวบเอาคำพยากรณ์ต่างๆในพระคัมภีร์เดิมมาเรียงร้อยให้เกิดความชัดเจนขึ้น


แต่หากจะกล่าวว่าเหล่าสาวกพระเยซูทั้งหมดคือ คือ 
ผู้เผยพระวจนะ (Prophets)  หรือไม่ ต้องยอมรับว่าใช่เพราะพระเยซูให้สิทธิอำนาจแก่พวกเขา ในการออกไปสั่งสอน ให้บัพติศมา ได้ พวกเขาเป็นผู้พิพากษาชนอิสราเอลและเป็นชื่อที่จารึกในเยรูซาเล็มใหม่ด้วย  แต่งานเขียนพระคัมภีร์ของพวกเขา กลับไม่ได้รับการยอมรับเท่าที่ควรจะเป็น   ซึ่งหนังสือของเหล่าอัครสาวกนั้นมีมากพอสมควร เล่มสุดท้ายที่ได้รับการรวมเข้ามาเป็นพระคัมภีร์คือ หนังสือ 2เปโตร ได้รับการยอมรับในปี คศ.380 )จึงมีคุณค่าเทียบหนังสือฟิเลโมนของเปาโลได้

เปาโลคือ ผู้เผยพระวจนะ (
Prophets)  หรือไม่ จากชีวประวัติของท่านท่านควรถูกยอมรับว่าเป็น ผู้เผยพระวจนะ เช่นกัน  แต่งานเขียนท่านนั้นไม่นับเป็นงานเขียนในแบบของ ผู้เผยพระวจนะ เพราะเป็นการเขียนผ่านการตีความหมาย เขียนในมุมของการเป็นครู และสอนตามบริบทของสังคม ไม่ได้เขียนอ้าง "พระเจ้าตรัสว่า"เช่นงานเขียนของผู้เผยพระวจนะอื่นๆ
 ฉะนั้นงานเขียนท่านจึงเป็นลักษณะของ มิชนา หรือ ทัลมุด ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ ซึ่งเป็นวรรณกรรมชื้นดี แต่ไม่ใช่การเขียนพระวจนะพระเจ้าที่เด็ดขาด โดยอ้าง"พระเจ้าตรัสว่า"

ซึ่งการยอมรับหนังสือที่เขียนเป็นลักษณะของ
ผู้เผยพระวจนะ ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ก็คือ หนังสือวิวรณ์ และคำตรัสของพระเยซูในหนังสือพระกิติคุณ เท่านั้น ที่นับว่าเป้นพระวจนะจากพระเจ้าโดยตรง
3.K = Ketuvim (כתובים) หมายถึง Writings งานเขียน, วรรณกรรม และรวมไปถึงประวัติศาสตร์ เราจะพบได้ในการเขียนพระกิติคุณ เพราะนอกจากมี โทราห์และคำตรัสเผยพระวจนะ  ก็มีประวัติของพระเยซูคริสต์ด้วย
ในส่วนของประวัติศาสตร์ก็ยังมีการเขียนหนังสือกิจการของท่านลูกา หนังสือ ฟิเลโมน และวิวรณ์ และส่วนต่างๆของหนังสือเปาโลที่เขียนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ขณะนั้น 

ในมุมของวรรณกรรม หนังสือทรงคุณค่า ก็ต้องยกให้หนังสือจดหมายฝากของ เปาโล เปโตร ยอห์น ยูดา ยากอบ ที่เขียนอธิบายหลักการของศาสนศาสตร์


เมื่อเรามีความเข้าใจในการแบ่งลักษณะของงานเขียนในพระคัมภีร์แล้ว
เราจะรู้ว่าสิทธิอำนาจในข้อความนั้นก็ต่างกัน เมื่อเราไม่เข้าใจสิ่งที่จดหมายฝากอธิบาย เเละข้อความเกิดดูเหมือนขัดกัน  เราก็ไปดูที่พระวจนะหรือโทราห์อันเป็นกฎหมายสูงสุดของพระเจ้า
   แต่ความสับสนของผู้อ่านที่ขาดความเข้าใจก็คือ  เมื่อมีสิ่งที่ขัดกัน  กลับเอาจดหมายฝากเป็นที่ตั้งและลบล้างสิ่งที่เป็นพระวจนะพระเจ้า   จดหมายฝากจึงทำหน้าที่เป็นพระวจนะพระเจ้า  ที่ตัดสินพระวจนะที่แท้จริงในโทราห์และหนังสือผู้เผยพระวจนะในทานัค   นี่คือการใช้งานที่ผิดประเภท  และสร้างหลักความเชื่อใหม่

หากเชิ่นว่าจดหมายฝากคือพระวจนะของพระเจ้า นั่นหมายถึงเป็นพันธสัญญา
เปาโลเขียนว่าผู้หญิงต้องคลุมผม ก็ต้องคลุมผม ทักทายด้วยทำเนียมจุบบริสุทธิ์ เราก็ต้องเปลี่ยนธรรมเนียมมาจุบ และก็ต้องนิยมโสดกันหมด ซึ่งผิดพระสัญญาของพระเจ้า  นอกจากนั้น ห้ามสุหนัต ยิวก็ต้องเลิกสุหนัต  เพราะสุหนัตทำให้ไม่ได้รับพระคุณพระเยซูพระเยซูก็สุหนัต สาวกทุกคนก็สุหนัต ผู้เผยพระวจนะทุกคนสุหนัต เปาโลคอมเม้นสุหนัตของฟาริสีในเมืองกาลาเทีย หรือกำลังสร้างกฎใหม่ให้เลิกสุหนัต 
สิ่งที่พระเจ้าสั่งไว้ก็ไร้ความหมาย  และก่อเกิดความเชื่อใหม่ๆที่พระเจ้าแท้จริงไม่รู้จักหรือรับรอง


หากจะเปรียบคือ โทราห์คือ กฎหมาย พระวจนะจากผู้เผยพระวจนะคือพระราชโองการ  จดหมายฝากเป็นการอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น  เป็นเหมือนครูที่สอนกฎหมายในมหาวิทยาลัย  ไม่ว่าครูจะสอนอะไรหรือผู้เรียนรับสิ่งใดมาแต่ในความเป็นจริงของชีวิต  การพิพากษานั้น อยู่ที่ โทราห์ พระวจนะพระเจ้า มิใช่จดหมายฝากที่เป็นครู  ครูไม่ใช่ผู้พิพากษาหรือกฎหมาย แต่เป็นผู้ให้ความกระจ่าง เท่านั้น  แต่ถ้าสอนขัดกับโทราห์หรือกฎหมาย  สิ่งนั้นก็สอนผิด  มิใช่กฎหมายหรือโทราห์จากพระเจ้าผิดต้องเลิกล้ม


จดหมายฝากจึงเป็นวรรณกรรมที่ดี ที่ได้รับการดลใจจากพระวิญญาณ แต่ไม่ใช่อยู่ในการดลใจระดับผู้เผยพระวจนะที่เขียนได้ว่า  " พระเจ้าตรัสว่า " ที่เขียนมาเป็นพันธสัญญา ของพระเจ้า
ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่จึงมีคำตรัสของพระเยซูเท่านั้นที่นับได้ว่า เป็นพระวจนะพระเจ้า  และพระวจนะพระเจ้าถือเป็นพันธสัญญา


สรุป

ทานัค และมิชนา เป็นหนังสือประเภทตีความ สิ่งที่ทานัค(พระคัมภีร์เดิม) 39เล่มเขียน

หนังสือตีความเหล่านี้บ้างเขียนด้วยพระวิญญาณบ้างเขียนด้วยความหวังดี ความหวังดีบางครั้งก็นำความเสียหายมาเมื่อความหวังดีไม่ถูกต้องตามโทราห์ ในพระกิติคุณก็จะมีเรื่องอาหารมลทินได้ถ้าไม่ล้างมือ 

หรือเรื่องการนำเงินที่เลี้ยงดูบิดามารดามาถวาย ก้เหมือนกับได้ดูแลบิดามารดา เป็นต้น พระเยซูตรัสว่าเอาบัญญัติมนุษย์มาตู่ว่าเป็นคำสอนจากพระเจ้า

วิญญาณนี้ก็ยังคงมีมาถึงปัจจุบัน

เมื่อผู้เชื่อก็ยังคงยึดหนังสือตีความแบบจดหมายฝากมาตู่เป็นโทราห์
วิญญาณเหล่านี้เป็นการงานของฟาริสี

การเขียนแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าต่อต้านหนังสือตีความ
เพราะถ้าไม่มีหนังสือตีความเราก็ยังคงไม่เข้าใจอะไรหลายอย่าง
แต่ด้วยการตีความอย่างจดหมายฝากนั้นเป็นคอมเม้นที่เกี่ยวข้องกับบริบทสมัยนั้น
เกี่ยวข้องกับอารมณ์ความเห็นส่วนตัว จึงต้องอ่านอย่างพิจารณา

มิเช่นนั้นพระวจนะพระเจ้าจริงๆก็กลายเป็นหมันไป อย่างที่พระเยซูเคยตรัส

6 อย่างนั้นแหละ ท่านทั้งหลายทำให้ธรรมบัญญัติของพระเจ้าเป็นหมันไป เพราะเห็นแก่คำสอนของพวกท่าน

7 โอ คนหน้าซื่อใจคด อิสยาห์ได้พยากรณ์ถึงพวกท่านถูกแล้วว่า

8 ประชาชนนี้ให้เกียรติเราแต่ปาก ใจของเขาห่างไกลจากเรา
9 เขานมัสการเราโดยหาประโยชน์มิได้ ด้วยเอาบทบัญญัติของมนุษย์มาตู่ว่า เป็นพระดำรัสสอนของพระเจ้า
การทำความเข้าใจงานเขียนในพระคัมภีร์เรื่องนี้ไม่ได้ยากเกินความเข้าใจครับ
เมื่อเข้าใจสิทธิอำนาจในงานเขียนแล้ว ก็จะเข้าใจวัถุประสงค์ของพระเจ้าในพระคัมภีร์เช่นกัน
ชาโลม


ติดตามวีดีโอที่ยูทูบ

https://www.youtube.com/watch?v=G8es2piPR7M&feature=youtu.be


 



วันอังคารที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ทฤษฎี พระเยซูเสด็จมาใน คศ. 70 แล้ว


ทฤษฎี  พระเยซูเสด็จมาใน คศ. 70 แล้ว

ชื่อเสียงของทฤษฎีนี้ เข้าหูผมมานานแล้ว และผมรู้สึกเฉยๆมาก  เพราะไร้ข้อมูลความจริงอย่างสิ้นเชิง

จนมาภายหลังรู้สึกแปลกใจ  ที่คนหลายคนสนใจและเชื่อในทฤษฎีนี้แบบหัวปัก
ผมเลยขอเขียนตีแผ่ทฤษฎีนี้ สักหน่อย เผื่อให้บางท่านที่ถูกพัดไปพัดมานั้นได้มีสมอ ท่ามกลางคลื่นทะเลข้อมูลที่เขย่าเรือชีวิตเสียจนโคลงเคลง


ทฤษฎีนี้พระเยซูเสด็จมาแล้วในปี 70 เกิดขึ้นหลังปี คศ 1000 
ผู้คนที่เชื่อพระเยซู ทางยุโรบ หรือกลุ่มคาทอลิกนั้นคาดว่าพระคริสต์จะเสด็จกลับมาตามคำพยากรณ์   ในปีคศ 1000   หลายคนถึงกับขายสิ่งสารพัดยกกองคาราวานมาที่เยรูซาเล็ม   มารอกันเป็นปีๆ ในขณะนั้นไม่มีใครเชื่อเรื่องการเสด็จมาในยุค คศ 70   
เมื่อคนนับหมื่นนับแสนมารอที่เยรูซาเล็มนับถอยหลังในปี คศ 1000  สุดท้ายไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น  
ขณะที่ผู้เชื่อพระเยซูทางอาหรับรู้สึกขบขันกับความคิดนั้นของชาวยุโรบ

  
ซึ่งในยุคนั้น ผู้เชื่อพระเยซูทางอาหรับเดินตามแนวทางของ อิสลามกันหมด


และผู้เชื่อพระเยซุเดินทางยุโรบเดินทางตามแนวทางของโรมมันคาทอลิก

ทางอาหรับก็มีกำหนดการที่แจ้งในกุรอ่านเช่นกันว่า  นบีอิซา (พระเยซู) จะมานั้น จะมีหมายสำคัญใดเกิดขึ้นบ้าง (หมายสำคัญเรื่องวันกิยามะฮฺ
ขณะที่ทางยุโรบคาทอลิกเชื่อว่าพระเยซูจะมาในปี คศ.1000  สุดท้ายเมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็เริ่มเดินทางกลับ

การเดินทางกลับนั้น ไม่ง่ายอย่างที่คิด เหล่า กองโจรของมุสลิมเข้าปล้น สะดม นักแสวงบุญ 
จนทางยุโรบเสียหายทั้งทรัพย์สินและล้มตาย   
ทางคาทอลิกนั้นเกิดความโกรธแค้นอย่างมาก  และเกิดการยกทัพกลับมาทำลายมุสลิม และจะยึดเอาเยรูซาเล็มกลับมา

นี่คือต้นเหตุของสงคราม ครูเส

สงครามที่ยืดเยื้อราวร้อยห้าสิบปี  ระหว่างคาทอลิก และอิสลาม
หลายคนก็คิดว่านี่แหละคือสงครามสุดท้ายก่อนพระคริสต์เสด็จมา  ตามคำพยากรณ์ หลังสงครามสงบลง ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น  พระเยซูก็ไม่เสด็จมา

ด้วยความหน้าแตกของหลายๆฝ่ายที่พยากรณ์  และกลุ่มผู้เชื่อรุ่นใหม่ที่สบประมาทผู้นำศาสนารุ่นก่อนที่ตีความไม่ถูกต้อง  จึงเกิดทฤษฎีนี้ขึ้นหลัง คศ1200 ซึ่งเกิดการพูดกันว่า หรือพระเยซูมาแล้วเมื่อ คศ 70  เลิกคาดหวังได้แล้ว   (ในยุคนั้นไม่มีพระคัมภีร์ให้คนทั่วไปได้อ่าน)  เป็นการเดาสุ่มเพื่อถามหาความจริง

โดยมีเหตุผล สามข้อ แบบไม่ได้มีความรู้เรื่องพระคัมภีร์อย่างถ่องแท้  สรุปว่า 

1
ไม่มีประเทศอิสราเอลแล้ว
สุดท้ายที่มีประเทศอิสราเอลคือ คศ 70 คำพยากรณ์บอกว่า พระองค์เสด็จมา ที่เยรูซาเล็ม และชาวยิวจะเห็น  ฉะนั้นพระเยซูน่าจะมาแล้ว

 
2
พระเยซูเคยพยากรณ์เรื่องคนหนึ่งชั่วอายุเอาไว้ว่าจะเกิดการถล่มเยรูซาเล็ม และที่เดียวกันนั้นก็ได้พยากรณ์การเสด็จกลับมาด้วย ก็สรุปไปว่าน่าจะเป็นเหตุการเดียวกันกับปี คศ 70

3 พระเยซูบอกด้วยว่าวิหารถล่มแล้วจะสร้างขึ้นในสามวัน พระองค์มาวันที่สามหลงจากวิหารพัง

ซึ่งเหตุผลเหล่านี้ไม่มีอะไรที่เป็นความจริงได้เลย เพียงแต่หยิบประเด็นมาแต่ไม่ครบและสรุป

ทฤษฎีนี้จึงไม่ได้มาจากปากของผู้รู้พระคัมภีร์อย่างเเท้จริง
แต่ก็มีผู้คนจำนวนเล็กๆจำนวนหนึ่งไม่มั่นคงในพระคัมภีร์ เชื่อตามนั้นอย่างมั่นคง  

ปี 1948 เกือบพันปีหลังจากนั้น เกิดประเทศอิสราเอลขึ้น นี่เป็นหมายสำคัญที่ยิ่งใหญ่ของปลายยุค คนที่เคยเชื่อทฤษฎีนี้  เลิกเชื่อไปหลายคน เพราะสิ่งที่พยากรณ์ถึงการเสด็จกลับมานั้นเกิดขึ้นแล้ว นี่คือเวลาของมะเดือ่แตกกิ่งแตกใบ อย่างที่พระเยซูกล่าววไ้ว่า เป็นหมายสำคัญของการเสด็จกลับมา  และคำพยากรณ์ที่ผู้เผยพระวจนะกล่าวหลายครั้งไว้ก็กำลังเกิดขึ้น สำเร็จเป็นจริง


ผมในฐานนะผู้เชื่อพระเจ้ามากว่า 40 ปี หลังปี 1948 คนที่ศึกษาเรื่องการเสด็จมา ไม่มีใครคิดได้อีกเลยว่าพระเยซูมาแล้วในปี คศ.70
ผมได้ยินทฤษฎีนี้  จากปากคนไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า  และไม่เชื่อเรื่องคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์  มองพระคัมภีรืเป็นหนังสือที่ไม่มีฤทธิ์เดชในการพยากรณ์ใดๆ
และเป็นประเภทผู้เชื่อในสิ่งที่ตนอยากเชื่อ ไม่เข้าใจหรือเรียนรู้ประวัติศาสตร์อย่างถ่องแท้ แม้นเป็นเพียงเเค่เรื่องง่ายๆก็ไม่เปิดใจที่จะเข้าใจ

เกริ่นมานาน ผมยกข้อโต้แย้งสำหรับทฤษฎีนี้เป็นข้อๆ เพื่อไปศึกษาต่อได้ ว่าเพราะอะไรพระเยซูไม่ได้มาใน คศ 70

1 พิจราณาทางประวัติศาสตร์ การเขียนพระธรรมวิวรณ์ เขียนในปี 90-92  ภาย หลังจากยอห์นถูกจักพรรดิ์โดมิเทียนสั่ง ต้มในน้ำมันแต่ไม่ตาย ประวัติศาสตร์บันทึกว่า ท่านถูกเนรเทศไปอยู่เกาะปัทมอส และท่านก็เขียนพระธรรมวิวรณ์ที่นั้น ราวปี คศ90-92
แน่นอนว่า ถ้าพระเยซูมาในปี 70 พระธรรมวิวรณ์ ก็คงไม่ต้องเขียนขึ้นอีกแล้ว
เพียงเท่านี้ก็หักล้างทฤษฎีนี้ได้แล้ว  ทฤษฎีพระเยซูมาปี 70 กล่าวว่า วิวรณ์เขียนก่อนปี 70
ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะจดหมายท่านเขียนถึงคริสตจักรทั้งเจ็ด ซึ่งเกิดขึ้นในเอเซียไมเนอร์(แถบตุรกีปัจจุบัน) ซึ่งเติบโตในยุค70-90 หลังจากเปโตรและเปาโลสิ้นชีวิตแล้ว ซึ่งบริเวณนั้นเป็นพื้นที่พันธกิจของยอห์น
ส่วนเหตุการณ์ก่อนกรุงแตกนั้นสาวกได้กระจายกันไปในที่ต่างๆแล้วเพราะพระเยซูได้พยากรณ์ถึงการที่จะเสียกรุงและวิหารแล้ว เปโตรเดินทางไปโรมและสิ้นชีวิตที่โรมในปี คศ 68 ขณะนั้นยอห์นอยู่แถบเอเซียไมเนอร์
ไม่มีใครอยู่รอพระเยซูที่เยรูซาเล็ม และสาวกส่วนใหญ่สิ้นชีวิตหลังปี 70 ไม่มีใครเขียนจดหมายเลยว่าพระเยซูมาแล้ว และพระกิติคุณ ทั้งสามเล่ม (ไม่นับมาระโก)  เขียนหลังปี คศ70 มีเพียงจดหมายเปาโลและยากอบ เปโตร ที่เขียนก่อนปี คศ 70  ถ้าพระเยซูเสด็จมาแล้วก็คงไม่ต้องเขียนสำแดงอะไรเพื่อการประกาศอีกแล้ว

และถ้าพระเยซูเสด็จลงมาจริง พระเยซูไปอยู่ไหนไป ไปรับใคร
ฉะนั้นพิจราณาทางประวัติศาสตร์ พระเยซูมา คศ. 70 จึงเป็นเรื่องลวงโลก
สร้างขึ้นเพื่อจะหาคำอธิบายในยุคที่ไม่มีเยรูซาเล็มแล้ว (เพราะการเสด็จมาเกี่ยวข้องกับเยรูซาเล็มและวิหาร)และในยุคที่สร้างทฤษฎีโกหกนี้ขึ้นมาเพราะ ไม่มีการอ่านพระคัมภีร์ที่ตีพิมพ์อย่างเช่นทุกวันนี้
และไม่มีการเรียนเรื่องประวัติศาสตร์  เราเข้าใจได้ในยุคนั้นว่าจะมีคนหลงเชื่อจริง แต่ไม่ใช่ยุคนี้ที่ความรู้ทวีขึ้นแล้ว
2 ไม่มีหมายสำคัญเรื่องการพยากรณ์เกี่ยวกับเหตุการณ์การเสด็จมาเหตุการณ์ที่ถูกพยากรณ์เรื่องวันแห่งการเสด็จมานั้น มีหมายสำคัญหลักๆ กว่าห้าสิบรายการ จากผู้เผยพระวจนะน้อยใหญ่พยากรณ์เอาไว้ เช่นเกิดสงครามน้ำท่วมหรือเหตุวิบัติต่างๆ
แต่คศ 70 มีเหตุการณ์เดียวที่พอจะเหมือนได้คือ มีสงคราม ที่เยรูซาเล็ม   เท่านั้น   ซึ่งจริงๆพระเยซูพยากรณ์ว่าเป็นข่าวลือเรื่องสงครามระหว่างประชาชาติต่อประชาชาติ   นอกจากนั้นไม่มีการประกาศไปสุดปลายแผ่นดินโลกเกิดขึ้น ไม่มีสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนไปวางที่วิหาร เหล่านี้เป็นเหตุการณ์ที่ต้องเกิดก่อนการเสด็จมา (มธ24) 
คำพยากรณ์เรื่องการเสด็จมาจะมีเรื่องอื่นๆอีกเช่น

มีความมืดปกคลุม มีการกันดาร  การรับขึ้น และหมายสำคัญอื่นๆจากท้องฟ้า 
หรือ การเกิดช่วงเวลาแห่งความทุกข์เข็ญที่สุดของประชาชนพระเจ้า  (ดนล12:1) ซึ่งหากเปรียบแล้วหลังจากกรุงแตก การฆ่าล้างเผ่าพันธ์ยิวใน คศ 130  ที่ 
จักรพรรดิ์ เฮเดรียนสั่ง ฆ่ายิวทั้งยูเดีย ก็ยังหนักหนาลำเค็ญกว่า คศ 70 หรือการฆ่ายิว 6ล้านคนในสงครามโลกครั้งที่สองโดยทหารฮิตเลอร์  ก็เป็นเรื่องที่สาหัสมากกว่า  ในเมื่อไม่มีหมายสำคัญตามคำพยากรณ์ในเรื่องการเสด็จมา พระเยซูจะมา คศ 70 ได้อย่างไร  ใน คศ70 มีการล้อมของกองทัพโรมโดยแม่ทัพไททัส เมื่อตีแตกได้ ก็ถล่มเยรูซาเล็มเสียยับเยินเท่านั้น  ไม่ปรากฎการเสด็จกลับมาอะไรเลย  แต่ก็ยังมีคนรุ่นหลังเชื่อว่าพระเยซูเสด็จมาแล้วแบบหัวชนฝา ซึ่งน่าเวทนา ดำเนินชีวิตเป็นผู้เชื่อต่อไปแบบไม่มีจุดหมาย เพราะเชื่อแล้วว่าพระเยซูมา แล้วก็แค่นั้น อิสราเอลก็พินาศไป วิหารก็พินาศไป ไม่มีอะไรดีขึ้นเมื่อพระเยซูเสด็จมา





3  เมื่อพระเยซูเสด็จมาจะมีการปกครองอณาจักรของพระเยซูบนโลก
 
ในดาเนียลกล่าวถึงอณาจักรส่วนเท้าที่จะเกิดขึ้นต่ออณาจักรโรม ก่อนอณาจักรพระเจ้าจะมา ไม่มีสิ่งเหล่านั้นเกิด    อณาจักรของพระคริสต์จะเป็น ก้อนหินที่กระทบอณาจักรสุดท้าย และทุกสิ่งก็พังลง   เมื่อพระเยซูมาโลกจะถูกปกครองโดยพระเยซูและธรรมิกชน ไม่มีมีสิ่งนั้น  เมื่อพระเยซูมา ชาวยิวจะกลับใจ  เมื่อพระเยซูมาบาปจะจบสิ้น เมื่อพระเยซูมาเยรูซาเล็มใหม่จะเกิดขึ้น ซึ่งเป็นคำพยากรณ์ทั้งอิสยาห์ เอเศเคียล เมื่อพระเยซูมาเยรูซาเล็มจะถูกยกให้สูงเหนือบรรดาเนินเขาทั้งปวง  เมื่อพระเยซูมาโลกจะอยู่อย่างสันติ สัตว์จะเป็นมิตรกับคน  เมื่อพระเยซูมาจะมีน้ำแห่งชีวิตใหลออกจากเยรูซาเล็ม  เมื่อพระเยซูมาแผ่นดินจะถูกแบ่งแยกใหม่  จะเกิดแผ่นดินไหวใหญ่  แยกเยรูซาเล็มออก เมื่อพระเยซูมาคนจะมานมัสการพระเจ้า




เหล่านี้อันนี้เป็นเเค่ตัวอย่างของสิ่งที่ต้องเกิดจากการพยากรณ์ของผู้เผยพระวจนะ ซึ่งจริงๆหานับคำพยากรณ์วิวรณ์ซึ่งเขียนหลังปีคศ 70 ก้ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่ต้องมี เป็นหมายสำคัญถึงการมาของพระคริสต์   

แต่การสงครามในปี คศ70 เป็นแค่หมายสำคัยหนึ่งของการที่คนต่างชาติจะมาเหยียบย่ำกรุงเยรูซาเล็ม
และมีกำหนดของหมายสำคัญนั้นว่ามีวันจบสิ้นเช่นกัน พระเยซูไม่ได้พยากรณืว่าวันนั้นคือวันเสด็จมา แต่วันนั้นเป็นเพียงวันเริ่มกำหนด

    
ลก 21:24 
เขาจะล้มลงด้วยคมดาบ และต้องถูกกวาดเอาไปเป็นเชลยทั่วทุกประชาชาติ และคนต่างชาติจะเหยียบย่ำกรุงเยรูซาเล็ม จนกว่าเวลากำหนดของคนต่างชาตินั้นจะครบถ้วน

มีการกำหนดให้คนต่างชาติเหยียบย่ำกรุงเยรูซาเล็ม ช่วงเวลาหนึ่ง
จึงเป็นที่แน่นชัดว่า ไม่ใช่เวลาที่พระเยซูจะมา 


ตามประวัติศาสตร์คริสตจักรแล้ว หลังปี คศ 70 การประกาศที่เกิดผลที่สุดในโลกเริ่มต้นช่วงนั้น และการข่มเหงที่ร้ายแรงที่สุดก็ก็จะเริ่มในช่วงนั้นเช่นกัน ซึ่งยอห์นเป็นอัครฑูตที่นำคริสตจักรต่างๆทั่งโลก
สิ่งที่เขาประกาศ หลังปี คศ 70 ไม่ได้กล่าวว่าพระคริสต์มาแล้ว แต่ประกาศว่าพระคริสต์จะมาแล้วให้กลับใจเสียใหม่ และให้มีความหวังใจในการเสด็จมาของพระองค์1 ยน 3:2 ท่านที่รักทั้งหลาย บัดนี้เราทั้งหลายเป็นบุตรของพระเจ้า และยังไม่ปรากฏว่าต่อไปเบื้องหน้าเราจะเป็นอย่างไร แต่เรารู้ว่าเมื่อพระองค์เสด็จมาปรากฏนั้น เราทั้งหลายจะเป็นเหมือนพระองค์ เพราะว่าเราจะเห็นพระองค์อย่างที่พระองค์ทรงเป็นอยู่นั้น
(หนังสือยอห์นเขียนหลังปี คศ70)


ซึ่งผู้ไม่เข้าใจได้ยกข้อนี้กล่าวว่าพระเยซูเสด็จมาแล้วยอห์นเป็นพยาน
1 ยน 5:20 และเราทั้งหลายรู้ว่าพระบุตรของพระเจ้าเสด็จมาแล้ว และได้ทรงประทานความเข้าใจแก่เรา เพื่อให้เรารู้จักพระองค์ผู้เที่ยงแท้ 

ซึ่งยอห์นกล่าวถึงการเสด็จมาที่ท่านเห็นและได้มีประสบการณ์ในการเป็นสาวก ไม่ใช่การเสด็จมาใน คศ70
การยกมาเพียงบางข้อนั้นทำให้คนที่ไม่เข้าใจหลงทางไปได้


การสังเกตลักษณะวิธีการเขียนของพระคัมภีร์ และการสื่อสารของพระเจ้า
การพยากรณ์เรื่อง คศ 70 เรื่องการล่มสลายของเยรูซาเล็ม และการพยากรณ์เรื่องการเสด็จมานั้น ทับซ้อนกันอยู่ในบทเดียวกันที่พระเยซูพยากรณ์   ซึ่งหากใครศึกษาเรื่องคำพยากรณ์เรื่องการเสด็จมา พระเจ้ามักจะสื่อสารด้วยเหตุการทับซ้อน ผสมผสาน กับเหตุการณ์เช่น บาบิโลนบุกเยรูซาเล็มหรือ อัสซีเรียบุกเยรูซาเล็ม และยกไปถึงวันแห่งการเสด็จมาของพระเจ้าด้วย   ถือเป็นเรื่องปรกติที่ต้องใช้ประสบการณ์ในการแยกประเภทออกมาว่าเป็นเงาทับซ้อนของเรื่องอะไร  เพื่อคนมีปัญญาจะเข้าใจได้เท่านั้น  เพราะพรวจนะเป็นเรื่องของกฎซ้อนกฎกฎซ้อนกฎ บรรทัดซ้อนบรรทัด ซ้อนบรรทัด ที่นั่นนิดที่นี่หน่อยอสย 28:13 





มีอีกหลายสิ่งที่เราเจาะจงลงไปในพระคัมภีร์ จะพบข้อปลีกย่อยอีกมากมายที่ยืนยันถึง คศ 70 ไม่เกี่ยวข้องอะไรเกี่ยวกับการเสด็จมาเลย ซึ่งเป็นเรื่องทฤษฎีที่ไม่ควรนำมาคุยแล้ว หลังจากอิสราเอลสร้างชาติขึ้นมาตามคำพยากรณ์ สิ่งที่ไม่เคยคิด ก็กำลังจะเกิดขึ้น (เพราะคำพยากรณ์ทุกอย่างในยุคสุดท้ายเกี่ยวพันกับอิสราเอล) ศาสนศาสตร์ล้าหลังเก่าๆที่ตีความสมัยยังไม่มีประเทศอิสราเอลก็ควรโยนทิ้งไป
ตรงนี้ก็ทิ้งไว้เป็นทฤษฎีอัปยศเท่านั้น เพราะเป็นทฤษฎีที่ไม่มีกฎจากพระวจนะรองรับ

ผมสรุปว่าการอ่านพระคัมภีร์แล้วสรุปมาว่าพระเยซูมาใน คศ 70 แล้วอันนี้หลุดไปไกลมากครับ
ซึ่งจริงๆไม่อยากเขียนเรื่องนี้เลย เพราะเหมือนกำลังคุยกับคนประเภทที่ไม่พร้อมเข้าใจอะไร เพราะไม่อยากเชื่อว่า จะมีคนเชื่อทฤษฎีนี้ และบางคนก็เป็นคนที่ผ่านการเรียนพระคัมภีร์มาแล้วก็ยังคล้อยตาม  แต่อย่างไรก็เขียนด้วยความรักความห่วงใย  เมื่อมีคนหลงเชื่อทฤษฎีนี้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ  ผมขอฝากคร่าวๆเบื้องต้นเอาไว้พิจราณา เพื่อให้ท่านได้ศึกษาต่อได้ และรอคอยความหวังใจที่พระเยซูตรัสสัญญาถึงการเสด็จมาว่าวันนั้น นำ้ตาทุกหยดพระองค์จะเช็ดให้ ไม่มีความตายอีกต่อไป ความบาปจะถูกพิพากษาและเราจะอยู่กับพระองค์นิรันดร์ 


วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

วิหารหลังที่สามสำคัญอย่างไร




กษัตริย์ดาวิดมีดำริในการที่สร้างพระวิหารให้แก่พระเจ้า  ทรงอธิษฐานฝากการงานทั้งสิ้นแด่พระยาเวย์
ดาวิดได้อธิษฐานประโยคหนึ่งว่า 

1พศด 29 : 18 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของอับราฮัม อิสอัคและอิสราเอลบรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลาย 
ขอพระองค์ทรงรักษาความประสงค์แห่งความคิดในใจของประชาชนของพระองค์ให้เป็นเช่นนี้เสมอไป 
และขอทรงตั้งจิตใจของเขาทั้งหลายให้มั่นในพระองค์

การสร้างวิหารถือเป็นภาระกิจของชาวอิสราเอลในทุกยุคสมัย
วิหารซาโลมอนสร้างขึ้นมาอย่างโอ่อ่าตระการ  และถูกทำลายลงโดยกองทัพบาบิโลน
วิหารถูกสร้างอีกครั้งในสมัยเอสรา เศรุบาเบล เดินทางกลับมาจากการเป็นเชลย และสมบูรณ์ยิ่งใหญ่ในยุคของเฮโรด
ถูกทำลายโดยกองทัพของบาบิโลน





และปัจจุบันนี่คือแผนการสร้างวิหารครั้งที่สามที่กำลังจะเกิดขึ้นในยุคของเรา
เมื่ออิสราเอลสร้างชาติขึ้นมาอีกครั้งท่ามกลางสงคราม ในวาระครบ 70 ปี
มีการประกาศถึงเรื่องนี้อย่างเปิดเผย  และจากข้อมูลที่เชื่อถือได้ เหล่านี้มีการเตรียมการกันนับร้อยปีมาแล้วจนเป็นที่น่าจับตาไปถึง คำพยากรณ์ปลายยุค

 

คำพยากรณ์ในพระคัมภีร์ สำเร็จไปประมาณ 30 % แล้ว
คงเหลือเพียงคำพยากรณ์เรื่องเหตุการณ์การเสด็จกลับมา และคำพยากรณ์เกี่ยวกับยุคพันปีเท่านั้นที่ยังรอเวลาอยู่






ที่ผมเขียนเรื่องวิหารหลังที่สามเพราะ
วิหารมีความสำคัญเกี่ยวข้องกับการเสด็จมาของพระเยซู
เรามาดูกันว่ามีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันอย่งไร  เริ่มตั้งแต่เยรูซาเล็มเป็นของอิสราเอลก่อน

ลก 21 : 24 เขาจะล้มลงด้วยคมดาบ และต้องถูกกวาดเอาไปเป็นเชลยทั่วทุกประชาชาติ และคนต่างชาติจะเหยียบย่ำกรุงเยรูซาเล็ม จนกว่าเวลากำหนดของคนต่างชาตินั้นจะครบถ้วน

 พระเยซูได้พยากรณ์ถึงการที่โรมมันจะเข้ามาทำลายเยรูซาเล็มในปี คศ 70
และได้พยากรณ์ว่า “คนต่างชาติจะเหยียบย่ำกรุงเยรูซาเล็ม จนกว่าเวลากำหนดของคนต่างชาตินั้นจะครบถ้วน”  คำนี้ต้องขยาย
มีเวลากำหนดที่ครบถ้วน ซึ่งเราสามารถศึกษาได้ใน คำพยากรณ์เรื่อง 70สัปตะ  ถึงเวลาที่ครบถ้วนนั้น
และเมื่อครบถ้วน  ก็ “หมดเวลาของคนต่างชาติ”  ดูต่อ


25 จะมีหมายสำคัญที่ดวงอาทิตย์ ที่ดวงจันทร์ และที่ดวงดาวทั้งปวง และบนแผ่นดินก็จะมีความทุกข์ร้อนตามชาติต่างๆ ซึ่งมีความฉงนสนเท่ห์เพราะเสียงกึกก้องของทะเลและคลื่น
26 จิตใจมนุษย์ก็จะสลบไสลไปเพราะความกลัว และเพราะสังหรณ์ถึงเหตุการณ์ซึ่งจะบังเกิดในโลก ด้วยว่า `บรรดาสิ่งที่มีอำนาจในท้องฟ้าจะสะเทือนสะท้านไป'
27 เมื่อนั้นเขาจะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาในเมฆ ทรงฤทธานุภาพและสง่าราศีเป็นอันมาก


มีเหตุการณ์วิบัติต่างๆที่จะเกิดขึ้นตามมา  ซึ่งในคำพยากรณ์เรื่อง 70 สัปตะก็ได้พยากรณ์เอาไว้เช่นกัน  และมีการทำสัญญา 7 ปี และจะมีการทรยศระหว่างนั้น
จนถึง พระคริสต์ก็จะเสด็จกลับมา (ซึ่งรายละเอียดตรงนี้ขอข้ามไปก่อน)

 ดนล 9:26 และประชาชนของประมุขผู้หนึ่งที่จะมานั้นจะทำลายกรุงและสถานบริสุทธิ์เสีย ที่สุดปลายของมันจะมาถึงด้วยน้ำท่วม และจนสงครามสิ้นสุดลงก็มีการรกร้างกำหนดไว้

27 ท่านจะยืนยันพันธสัญญากับคนเป็นอันมากอยู่หนึ่งสัปดาห์ และในระหว่างกลางสัปดาห์นั้นท่านจะกระทำให้การถวายสัตวบูชา 
และเครื่องบูชาอื่นๆหยุดไป และเพราะเหตุมีความสะอิดสะเอียนแพร่กระจายไปทั่ว ท่านจะกระทำให้มันร้างเปล่าจนสำเร็จเสร็จสิ้น และสิ่งที่กำหนดไว้จะถูกเทลงเหนือผู้ที่ร้างเปล่านั้น"


มาที่เรื่องวิหาร

มีการปรากฎเรื่องวิหารใน 7 ปีนั้น ในเรื่องสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน
เรามาดูว่าสิ่งที่สะอิดสะเอียนถูกกล่าวถึงอย่างไร

ดนล 12:11 และตั้งแต่เวลาที่ให้เลิกเครื่องเผาบูชาประจำวันเสียนั้น และให้ตั้งสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนซึ่งกระทำให้เกิดการรกร้างว่างเปล่าขึ้น จะเป็นเวลาหนึ่งพันสองร้อยเก้าสิบวัน

มีการตั้งสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน  1290 วัน
ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดสมัยกษัตริย์อันทิโอกัส ได้เอารูปปั้นซุสเข้าไปในวิหารพระเจ้า และเอาเลือดหมูทาไปทั่ววิหาร
ซึ่งถูกพยากรณ์ในดาเนียลเช่นกัน  ดนล 11:31พวกเขาจะกระทำให้สถานบริสุทธิ์แห่งกองกำลังเป็นมลทิน และจะให้เลิกเครื่องเผาบูชาประจำวันนั้นเสีย และเขาทั้งหลายจะตั้งสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนซึ่งกระทำให้เกิดการรกร้างว่างเปล่าขึ้น

หากสิ่งที่จะเกิดขึ้น  จะเกิดอีกครั้งเหตุ   การณ์ของอันทิโอกัสก็เป็นเงา ว่า สิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนนั้นจะถูกตั้งในวิหาร  และพระเยซูทรงมา รับรองคำพยากรณ์นั้น

มธ24:15 เหตุฉะนั้น เมื่อท่านทั้งหลายเห็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนซึ่งกระทำให้เกิดการรกร้างว่างเปล่า ที่ดาเนียลศาสดาพยากรณ์ได้กล่าวถึงนั้น ตั้งอยู่ในสถานบริสุทธิ์" (ผู้ใดก็ตามที่ได้อ่านก็ให้ผู้นั้นเข้าใจเอาเถิด)
16 "เวลานั้นให้ผู้ที่อยู่ในแคว้นยูเดียหนีไปยังภูเขาทั้งหลาย


1290 วัน  คือเวลา สามปี ครึ่ง หรือ 42 เดือน 

ตามที่วิวรณ์ได้พยากรณ์ว่า
วิวรณ์ 12:14 แต่ทรงประทานปีกนกอินทรีใหญ่สองปีกแก่หญิงนั้น เพื่อให้นางบินหนีหน้างูเข้าไปในถิ่นทุรกันดารในสถานที่ของนาง จนถึงที่ซึ่งนางจะได้รับการเลี้ยงดู ตลอดวาระหนึ่งและสองวาระและครึ่งวาระ
หรือ  การครอบครองของอณาจักรเทียมเท็จนั้น
วว 11:2 แต่ไม่ต้องวัดลานชั้นนอกพระวิหารนั้น เพราะว่าที่นั่นได้มอบไว้แก่คนต่างชาติแล้ว และเขาจะเหยียบย่ำเมืองบริสุทธิ์ลงใต้เท้าตลอดสี่สิบสองเดือน
วว 13:5 และยอมให้สัตว์ร้ายนั้นมีปากที่พูดคำกล่าวร้ายและหมิ่นประมาท และยอมให้มันใช้อำนาจกระทำอย่างนั้นตลอดสี่สิบสองเดือน


ช่วงเวลานี้ เป็นเวลาเปิดฉากของกลียุค ที่มีวิบัติต่างๆที่พระเยซูได้พยากรณ์ และพระคัมภีรืได้กล่าวถึง





มาดูที่คำนี้
สิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน ถูกตั้งในวิหาร 

หากกล่าวคำนี้เมื่อร้อยปีก่อนก็ไม่มีใครเชื่อว่าวิหารอะไรที่ไหน เพราะประเทศอิสราเอลก็ยังไม่มีเลย
แต่ตอนนี้ก็ใกล้ความจริงแล้วว่า จะมีวิหารเกิดขึ้น
เราไม่รู้ว่าการสร้างวิหารจะเเล้วเสร็จเมื่อไร หรือการสร้างวิหารต้องมีสัญญาสันติภาพเจ็ดปีมาข้องเกี่ยว
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อวิหารสร้างเสร็จ และมี สิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนมาตั้งเมื่อไร  อีกสามปีครึ่ง รู้กัน

วิหารสร้างเสร็จ ก็อย่าเพิ่งตกใจนะครับ รอให้สิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนมาตั้งก่อน ค่อยนับนะครับ อย่าเพิ่งออกตัวหนีไปก่อน

อีกตอนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับวิหาร เปาโลได้ตีความมาจากหนังสือ ประเภท มิชนา เรื่องการมาปรากฎตัวของ ปฎิปักษ์พระเมสิยาห์ 
ปฎิปักษ์พระคริสต์ คนนอกบัญญัติ คนนอกกฎหมาย  แล้วแต่จะเรียกนะครับ  ที่จะใช้อำนาจ 42 เดือนตามที่พยากรณ์ไว้

2 ธส 2:4 ผู้กีดกั้นขัดขวางและยกตัวขึ้นต่อสู้อะไรๆที่ได้ชื่อว่าเป็นพระเจ้า หรืออะไรๆที่เขาไหว้นมัสการนั้น แล้วมันก็นั่งในพระวิหารของพระเจ้าเหมือนอย่างพระเจ้า ประกาศตัวว่าเป็นพระเจ้า

นั่งในวิหารพระเจ้า “ ตลอดมานับพันปีเกือบสองพันปี  ไม่มีวิหารของพระเจ้าที่เยรูซาเล็ม หลายๆคนจึงเข้าใจว่ามะนน่าจะเกิดไปตั้งแต่ คศ 70 ที่วิหารถูกทำลายแล้ว ซึ่งเมื่อวิเคราะห์ก็ไม่สมบูณณ์ เพราะพระเยซูเน้นว่าพระองค์จะมาอย่างไรผ่านพระธรรมวิวรณ์ใน คศ 90 
 ผู้เชื่อที่อ่านพระวจนะได้แต่งุน งง แต่เมื่อ เกิดประเทศอิสราเอลอีกครั้ง และการสร้างวิหารที่จะเกิดขึ้น จิ๊กซอลทั้งหลายก็ถูกขมวดเข้ามา ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น


ฉะนั้นผมสรุปเรื่องวิหารหลังที่สามมีความเกี่ยวข้องอย่างไรในการพยากรณ์ เรื่องปลายยุคก็คือ
1 วิหารหลังที่สามเป็นที่สิ่งน่าสะอิดสะเอียนมาวาง
2 วิหารหลังที่สามเป็นที่ปฎิปักษ์พระเมสิยาห์ จะมานั่งประกาศตัวเป็นพระเจ้า



พระเจ้าให้องค์ประกอบเรื่องเหตุการณ์ปลายยุคอีกหลายอย่าง นี่เป็นเพียงหนึ่งในหลายๆเรื่องที่เราสามารถสังเกตความหมายของยุคได้


 ถ้าหากใครมาบอกท่านว่า การเสด็จมาโมงนั้นเวลานั้นไม่มีใครรู้  อย่าได้สนใจ ก็ส่งยิ้มอ่อนๆให้เขา เพราะปีไหน เดือนไหน สัปดาห์ไหน เรารู้ได้ ถ้าเราเข้าใจความหมายของคำพยากรณ์