แต่เดิมนั้นมีการเขียนเรื่องราวของพระเจ้ามาตั้งแต่สมัยที่มนุษย์เริ่มมีการประดิษฐ์ตัวอักษรซึ่งมีตกทอดมากันหลายเล่ม แต่ผมขอยกถึงงานเขียนที่นำมารวมเป็นพระคัมภีร์เท่านั้นนะครับ
พิจารณางานเขียนในพระคัมภีร์เดิม
ก่อนพระเยซูเสด็จมานั้น ม้วนหนังสือทั้งหมดที่รวบรวมมาในหมวดที่ชาวยิวเรียกว่า "ทานัค"
TaNaK (ฮีบรู: תנ"ך) คือ 39 เล่มที่ได้รวมเข้ามาเป็นพระคัมภีร์คัมภีร์ปัจจุบันหรือที่เรียกว่าพระคัมภีร์ไบเบิ้ลอยู่ในหมวดพันธสัญญาเดิม
ซึ่งการแปลนั้นมาจากภาษาต้นฉบับโดยตรงคือภาษา ฮีบรู และมีบางเล่มเป็นภาษาอารเมก เช่นดาเนียล
Tanak เป็นตัวย่อของพระคัมภีร์ที่ประกอบด้วยอักษร (T+N+K)
1.T = Torah (תורה) หมายถึง คำสอน หรือกฎหมาย ของพระยาห์เวห์ ของเรา
2.N = Nevi'im (נביאים) หมายถึง Prophets ผู้เผยพระวจนะ
3.K = Ketuvim (כתובים) หมายถึง Writings งานเขียน, วรรณกรรม และรวมไปถึงประวัติศาสตร์
นอกจากนั้นก็ยังมีหนังสือที่พวกรับไบและครูสอนศาสนาเขียนขึ้น เช่นหนังสือ ทัลมุด תַּלְמוּד talmūd เป็นหนังสือประกอบความรู้จากทานัคมีการถามตอบและตั้งข้อสังเกตต่างๆ หรือหนังสือ มิชนา มิชนาห์" מִשְׁנָה Mishnah ที่เขียนอธิบายพระคัมภีร์ทานัค โดยยุคของพระเยซูเองก็มีการกล่าวถึงคำสอนเหล่านี้ ซึ่งมีการสรุปออกมาอย่างเช่น อะไรคือบัญญัติข้อใหญ่ ซึ่งผู้ที่ศึกษาก็จะตอบได้ว่าคือการรักพระเจ้าสุดใจและการรักเพื่อนบ้าน ซึ่งพระเยซูก็ยืนยันในสิ่งนั้น และบางข้อบางตอนพระเยซู ก็ไม่ยอมรับเช่น กฎว่าด้วยการกินอาหารแล้วไม่ล้างมืออาหารจะมลทิน พระเยซูตรัสว่า เป็นการเอาคำสอนมนุษย์มาตู่ว่าเป็นพระดำรัสพระเจ้าซึ่งจะทำให้ผู้ที่เชื่อหลงไปได้เช่น การแปลทางภาษาผิดพลาด หรือการแปลความอย่างไม่เข้าใจบริบทและนำไปใช้ ซึ่งเหล่านี้เกิดผลเสียหาย

แต่พระคัมภีร์ทานัค นั้นมีต้นฉบับที่สามรถพิสูจน์ได้ที่สุดจากภาษาที่เขียน ที่น่าเชื่อถือที่สุด
ต่างจากพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ เช่นพระเยซูตรัสเป็นภาษาอารเมก แต่ต้นฉบับที่หลายคนยอมรับกลับเป็นภาษาภาษากรีก รวมทั้งหลายๆเล่มในพันธสัญญาใหม่นั้นต้นฉบับก็หาได้เพียงภาษากรีก ทั้งที่เหล่าสาวกสื่อสารกันด้วยภาษาอารเมกเป็นหลักในการสอนพระวจนะพระเจ้าที่เป็นภาษาฮีบรู (ภาษาฮีบรูและอารเมกเป็นภาษาตระกูลเดียวกัน)
หากเปรียบก็เหมือนคนจีนที่เขียนหนังสือภาษาอังกฤษสื่อสารกัน : ซึ่งในความเป็นจริงเราเห็นว่าไม่เป็นเช่นนั้นเพราะคนจีนมีความเข้มข้นในวัฒนธรรม เเม้นฮ่องกงจะถูกปกครองด้วยอังกฤษก็ตาม
ฉันใดฉันนั้น กรีกมาปกครองยิว และยิวเกลียดชังกรีกมากเพราะมาลบหลู่วิหารเอาเลือดหมูมาทาและตั้งรูปซุสในวิหาร ฆ่าฟันเลวีและยิวตายนับหมื่นคนในวิหาร ภาษากรีกใช้สำหรับทำการค้า แต่การสอนพระวจนะไม่สอนด้วยภาษาต่างประเทศแน่นอน หากจีนมีความเข้มข้นในวัฒนธรรมแล้ว ยิวต้องคูณสองเท่า
ฉะนั้นพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ ซึ่งนักวิชาการค้นพบต้นฉบับที่เก่าที่สุดคือภาษากรีก ก็ย่อมมีการผิดพลาดเปลี่ยนแปลงไปบางประการ ขณะที่นักวิชาการบางกลุ่มก็พบภาษาอารเมก อันเป็นต้นฉบับ
และเมื่อเอาภาษาอารเมกมายืนยันเทียบกับกรีก ก็พบว่าหลายข้อหลายตอนทีเดียวที่แปลไปอย่างผิดพลาด
เช่น เราคืออัลฟ่าและโอเมก้า ตรงนี้ผิดชัดเจนเพราะ พระเจ้าไม่เกี่ยวข้องกับภาษากรีก และไม่มีพระนามของพระองค์ในความหมายของภาษากรีก แต่หากแปลว่าเราคือ อเลฟ (อักษรตัวเเรกซึ่งมีความหมายว่าพระเจ้าผู้เป็นหนึ่ง ผู้เป็นจุดเริ่มของสรรพสิ่ง) และ ทัฟ (อักษรตัวสุดท้ายของภาษาฮีบรู ซึ่งหมายความถึงความเป็นนิรัดร์)
จะได้ความหมายที่ถูกต้อง รวมทั้งเบื้องหลังคำนี้คือ ตั้งแต่ตัวอเลฟ ถึง ทัฟ ของภาษาฮีบรูนั้น คือมีพระลักษณะพระเจ้า ทั้งหมด จึงถูกต้องรับรองตามที่พระวจนะตรัสว่า อสย 41:4 ผู้ใดได้ประกอบกิจและกระทำเช่นนี้ เรียกบรรดาชั่วอายุทั้งหลายออกมาตั้งแต่เดิม เราเองคือพระยาเวย์ ผู้เป็นปฐม และกับกาลอวสาน เราคือผู้นั้น

การอ่านพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ จึงต้องอ่านในลักษณะที่ต้องทำความเข้าใจบริบทและภาษาเดิมเพื่อจะตีความออกมา
พิจารณางานเขียนในพระคัมภีร์ใหม่
เมื่อเทียบกับทานัค (T N K ) แล้ว เราจะพบว่ามีความเหมือนกันต่างกันอย่างไร1.T = Torah (תורה) หมายถึง คำสอน หรือกฎหมาย ซึ่งมาจากพระเยซูพระเยซูใช้การสอนส่วนใหญ่ในการอธิบายโทราห์ เพราะพระองค์มิได้มาทำลายโทราห์ แต่มาทำให้สมบูรณ์ สิ่งที่ธรรมบัญญัติเขียนแล้วไม่เข้าใจก็เข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้นผ่านพระเยซู
ส่วนจดหมายอัครฑูตนั้นนับเป็นโทราห์ได้หรือไม่ ตอบได้ว่าไม่ได้ เพราะโทราห์คือคำสอนสูงสุดนั้นมาจากพระเจ้าได้เท่านั้น และอัครฑูตสอนและตีความจากโทราห์มาเท่านั้น ศาสนศาสตร์ ที่เกิดขึ้นจากการเสด็จมาของพระเยซูก็นับว่าเป็นการตีความของสาวก ไม่ได้นับว่าเป็นโทราห์ของพระเจ้า
โทราห์ของพระเจ้าผ่านผู้เผยพระวจนะและพระเยซูคริสต์ผู้เป็นพระบุตรเท่านั้น
เปาโลเขียนว่า จงถือว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าเขียนนี้คือธรรมบัญญัติ หรือโทราห์
นั่นเป็นเพราะสิ่งที่ท่านสั่งนั้น ตีความมาจากโทราห์แล้ว ซึ่งฟาริสีก็มักจะสร้างธรรมบัญญัติขึ้นบ่อยๆซึ่งก็มาจากความหวังดี และพระเจ้าไม่ได้รับรองเสมอไป

2.N = Nevi'im (נביאים) หมายถึง Prophets ผู้เผยพระวจนะ เป็นงานเขียนที่รับจากพระเจ้าโดยตรง และอ้างพระเจ้าโดยตรงคือ "พระเจ้าตรัสว่า" หรือเราสามารถเปรียบได้กับสิ่อสารพระราชโองการของกษัตริย์ อ้างได้ว่านี่คือ พระวจนะพระเจ้าอย่างแท้จริง
ซึ่งเราเห็นได้จากงานเขียนของยอห์น ในหนังสือวิวรณ์ ซึ่งรวบเอาคำพยากรณ์ต่างๆในพระคัมภีร์เดิมมาเรียงร้อยให้เกิดความชัดเจนขึ้น

แต่หากจะกล่าวว่าเหล่าสาวกพระเยซูทั้งหมดคือ คือ ผู้เผยพระวจนะ (Prophets) หรือไม่ ต้องยอมรับว่าใช่เพราะพระเยซูให้สิทธิอำนาจแก่พวกเขา ในการออกไปสั่งสอน ให้บัพติศมา ได้ พวกเขาเป็นผู้พิพากษาชนอิสราเอลและเป็นชื่อที่จารึกในเยรูซาเล็มใหม่ด้วย แต่งานเขียนพระคัมภีร์ของพวกเขา กลับไม่ได้รับการยอมรับเท่าที่ควรจะเป็น ซึ่งหนังสือของเหล่าอัครสาวกนั้นมีมากพอสมควร เล่มสุดท้ายที่ได้รับการรวมเข้ามาเป็นพระคัมภีร์คือ หนังสือ 2เปโตร ได้รับการยอมรับในปี คศ.380 )จึงมีคุณค่าเทียบหนังสือฟิเลโมนของเปาโลได้
เปาโลคือ ผู้เผยพระวจนะ (Prophets) หรือไม่ จากชีวประวัติของท่านท่านควรถูกยอมรับว่าเป็น ผู้เผยพระวจนะ เช่นกัน แต่งานเขียนท่านนั้นไม่นับเป็นงานเขียนในแบบของ ผู้เผยพระวจนะ เพราะเป็นการเขียนผ่านการตีความหมาย เขียนในมุมของการเป็นครู และสอนตามบริบทของสังคม ไม่ได้เขียนอ้าง "พระเจ้าตรัสว่า"เช่นงานเขียนของผู้เผยพระวจนะอื่นๆ
ฉะนั้นงานเขียนท่านจึงเป็นลักษณะของ มิชนา หรือ ทัลมุด ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ ซึ่งเป็นวรรณกรรมชื้นดี แต่ไม่ใช่การเขียนพระวจนะพระเจ้าที่เด็ดขาด โดยอ้าง"พระเจ้าตรัสว่า"
ซึ่งการยอมรับหนังสือที่เขียนเป็นลักษณะของผู้เผยพระวจนะ ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ก็คือ หนังสือวิวรณ์ และคำตรัสของพระเยซูในหนังสือพระกิติคุณ เท่านั้น ที่นับว่าเป้นพระวจนะจากพระเจ้าโดยตรง

3.K = Ketuvim (כתובים) หมายถึง Writings งานเขียน, วรรณกรรม และรวมไปถึงประวัติศาสตร์ เราจะพบได้ในการเขียนพระกิติคุณ เพราะนอกจากมี โทราห์และคำตรัสเผยพระวจนะ ก็มีประวัติของพระเยซูคริสต์ด้วย
ในส่วนของประวัติศาสตร์ก็ยังมีการเขียนหนังสือกิจการของท่านลูกา หนังสือ ฟิเลโมน และวิวรณ์ และส่วนต่างๆของหนังสือเปาโลที่เขียนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ขณะนั้น
ในมุมของวรรณกรรม หนังสือทรงคุณค่า ก็ต้องยกให้หนังสือจดหมายฝากของ เปาโล เปโตร ยอห์น ยูดา ยากอบ ที่เขียนอธิบายหลักการของศาสนศาสตร์
เมื่อเรามีความเข้าใจในการแบ่งลักษณะของงานเขียนในพระคัมภีร์แล้ว
เราจะรู้ว่าสิทธิอำนาจในข้อความนั้นก็ต่างกัน เมื่อเราไม่เข้าใจสิ่งที่จดหมายฝากอธิบาย เเละข้อความเกิดดูเหมือนขัดกัน เราก็ไปดูที่พระวจนะหรือโทราห์อันเป็นกฎหมายสูงสุดของพระเจ้า
แต่ความสับสนของผู้อ่านที่ขาดความเข้าใจก็คือ เมื่อมีสิ่งที่ขัดกัน กลับเอาจดหมายฝากเป็นที่ตั้งและลบล้างสิ่งที่เป็นพระวจนะพระเจ้า จดหมายฝากจึงทำหน้าที่เป็นพระวจนะพระเจ้า ที่ตัดสินพระวจนะที่แท้จริงในโทราห์และหนังสือผู้เผยพระวจนะในทานัค นี่คือการใช้งานที่ผิดประเภท และสร้างหลักความเชื่อใหม่
หากเชิ่นว่าจดหมายฝากคือพระวจนะของพระเจ้า นั่นหมายถึงเป็นพันธสัญญา
เปาโลเขียนว่าผู้หญิงต้องคลุมผม ก็ต้องคลุมผม ทักทายด้วยทำเนียมจุบบริสุทธิ์ เราก็ต้องเปลี่ยนธรรมเนียมมาจุบ และก็ต้องนิยมโสดกันหมด ซึ่งผิดพระสัญญาของพระเจ้า นอกจากนั้น ห้ามสุหนัต ยิวก็ต้องเลิกสุหนัต เพราะสุหนัตทำให้ไม่ได้รับพระคุณพระเยซูพระเยซูก็สุหนัต สาวกทุกคนก็สุหนัต ผู้เผยพระวจนะทุกคนสุหนัต เปาโลคอมเม้นสุหนัตของฟาริสีในเมืองกาลาเทีย หรือกำลังสร้างกฎใหม่ให้เลิกสุหนัต สิ่งที่พระเจ้าสั่งไว้ก็ไร้ความหมาย และก่อเกิดความเชื่อใหม่ๆที่พระเจ้าแท้จริงไม่รู้จักหรือรับรอง
หากจะเปรียบคือ โทราห์คือ กฎหมาย พระวจนะจากผู้เผยพระวจนะคือพระราชโองการ จดหมายฝากเป็นการอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นเหมือนครูที่สอนกฎหมายในมหาวิทยาลัย ไม่ว่าครูจะสอนอะไรหรือผู้เรียนรับสิ่งใดมาแต่ในความเป็นจริงของชีวิต การพิพากษานั้น อยู่ที่ โทราห์ พระวจนะพระเจ้า มิใช่จดหมายฝากที่เป็นครู ครูไม่ใช่ผู้พิพากษาหรือกฎหมาย แต่เป็นผู้ให้ความกระจ่าง เท่านั้น แต่ถ้าสอนขัดกับโทราห์หรือกฎหมาย สิ่งนั้นก็สอนผิด มิใช่กฎหมายหรือโทราห์จากพระเจ้าผิดต้องเลิกล้ม
จดหมายฝากจึงเป็นวรรณกรรมที่ดี ที่ได้รับการดลใจจากพระวิญญาณ แต่ไม่ใช่อยู่ในการดลใจระดับผู้เผยพระวจนะที่เขียนได้ว่า " พระเจ้าตรัสว่า " ที่เขียนมาเป็นพันธสัญญา ของพระเจ้า
ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่จึงมีคำตรัสของพระเยซูเท่านั้นที่นับได้ว่า เป็นพระวจนะพระเจ้า และพระวจนะพระเจ้าถือเป็นพันธสัญญา

สรุป
ทานัค และมิชนา เป็นหนังสือประเภทตีความ สิ่งที่ทานัค(พระคัมภีร์เดิม) 39เล่มเขียน
หนังสือตีความเหล่านี้บ้างเขียนด้วยพระวิญญาณบ้างเขียนด้วยความหวังดี ความหวังดีบางครั้งก็นำความเสียหายมาเมื่อความหวังดีไม่ถูกต้องตามโทราห์ ในพระกิติคุณก็จะมีเรื่องอาหารมลทินได้ถ้าไม่ล้างมือ
หรือเรื่องการนำเงินที่เลี้ยงดูบิดามารดามาถวาย ก้เหมือนกับได้ดูแลบิดามารดา เป็นต้น พระเยซูตรัสว่าเอาบัญญัติมนุษย์มาตู่ว่าเป็นคำสอนจากพระเจ้า
วิญญาณนี้ก็ยังคงมีมาถึงปัจจุบัน
เมื่อผู้เชื่อก็ยังคงยึดหนังสือตีความแบบจดหมายฝากมาตู่เป็นโทราห์
วิญญาณเหล่านี้เป็นการงานของฟาริสี
การเขียนแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าต่อต้านหนังสือตีความ
เพราะถ้าไม่มีหนังสือตีความเราก็ยังคงไม่เข้าใจอะไรหลายอย่าง
แต่ด้วยการตีความอย่างจดหมายฝากนั้นเป็นคอมเม้นที่เกี่ยวข้องกับบริบทสมัยนั้น
เกี่ยวข้องกับอารมณ์ความเห็นส่วนตัว จึงต้องอ่านอย่างพิจารณา
มิเช่นนั้นพระวจนะพระเจ้าจริงๆก็กลายเป็นหมันไป อย่างที่พระเยซูเคยตรัส
6 อย่างนั้นแหละ ท่านทั้งหลายทำให้ธรรมบัญญัติของพระเจ้าเป็นหมันไป เพราะเห็นแก่คำสอนของพวกท่าน
7 โอ คนหน้าซื่อใจคด อิสยาห์ได้พยากรณ์ถึงพวกท่านถูกแล้วว่า
8 ประชาชนนี้ให้เกียรติเราแต่ปาก ใจของเขาห่างไกลจากเรา
9 เขานมัสการเราโดยหาประโยชน์มิได้ ด้วยเอาบทบัญญัติของมนุษย์มาตู่ว่า เป็นพระดำรัสสอนของพระเจ้า
การทำความเข้าใจงานเขียนในพระคัมภีร์เรื่องนี้ไม่ได้ยากเกินความเข้าใจครับ
เมื่อเข้าใจสิทธิอำนาจในงานเขียนแล้ว ก็จะเข้าใจวัถุประสงค์ของพระเจ้าในพระคัมภีร์เช่นกัน
ชาโลม
ติดตามวีดีโอที่ยูทูบ
https://www.youtube.com/watch?v=G8es2piPR7M&feature=youtu.be