วันพฤหัสบดีที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2562

ความต่างระหว่าง ความจริง กับข้อเท็จจริง



ความจริง กับข้อเท็จจริง


สองคำนี้มีความเเตกต่างกัน และพระเจ้าใช้ทั้งสองคำนี้
และคนส่วนมากมักแยกไม่ออกระหว่าง ความจริงและ ข้อเท็จจริง
เมื่อพระคัมภีร์เขียนว่าเราต้องพูดความจริงด้วยใจรัก

ผู้อ่านมักจะคิดว่าหมายถึงห้ามโกหก  ด้วยความรักจึงต้องพูดตรงๆตัดสินกันไป พังก็ไม่เป็นไรขอให้พูดความจริง

การพูดแบบนั้นเรียกว่าการพูดข้อเท็จจริง
ซึ่งบรรทัดฐานแห่งข้อเท๊จจริงคือพระบัญญัติพระเจ้า

มีเพื่อประหารและพิพากษา

พระเจ้าจึงสอนว่า พระบัญญัติ ต้องใช้ด้วยความรัก
รม 13:10 ความรักไม่ทำอันตรายเพื่อนบ้านเลย เหตุฉะนั้นความรักจึงเป็นที่ให้พระราชบัญญัติสำเร็จแล้ว
จึงจะเป็นการใช้ที่ถูกต้อง  มิเช่นนั้นจะมีแต่การพิพากษากันร่ำไป
เพราะมนุษย์  กินผลไม้แห่งความรู้ดีรู้ชั่ว
จึงตัดสินกันด้วยความรู้ดีรู้ชั่ว
บางครั้งก็ถึงกับตัดสินพระบัญญัติพระเจ้าว่าชั่วร้ายด้วย
และตั้งบัญญัติตนเองขึ้นแทน

การพูดความจริงคืออะไร  แตกต่างจากการพูดข้อเท็จจริงอย่างไร

การพูดความจริง คือ  ความจริงที่เราต้องดำเนินชีวิตเป็นไป

ยกตัวอย่างนะครับ เวลามีการขัดเเย้งกันเกิดขึ้น เช่นกับคนรักหรือในครอบครัว
หากเรายกข้อเท็จจริงขึ้นมาคุย เพื่อหักล้าง บางคนอาจจะพังหรือเสียคนไปเลยก็ได้ เพราะข้อเท็จจริงทำให้เห็นถูกผิดชัดเจน

ฉะนั้นเราจึงต้องคุยกันบนหลักของความจริง
หลักของความจริงคือเราจะเดินกันต่อไปด้วยกันอย่างไร

นี่เป็นคำตอบของการพูดความจริงด้วยใจรัก

อย่างนั้นการพูดความจริงเราต้องลืมข้อเท็จจริงหรือ
เราไม่ลิมข้อเท็จจริง แต่เรา มีความรัก เราจึงพูดในความจริงมากกว่าข้อเท็จจริง

ข้อเท็จจริงคือทุกคนเป็นคนบาป  ทุกคนตกนรก

ความจริงคือ แล้วเราจะไปกันต่อได้อย่างไร  พระเยซูเห็นแก่ความจริง
มากกว่าข้อเท็จจริง  จึงมาตายบนไม้กางเขน  เพื่อเราจะไปกันต่อได้  สำแดงความจริง
ที่อยู่เหนือเหตุผลแห่งข้อเท็จจริง  ของการรู้ดีรู้ชั่ว
บางคนไม่เข้าใจจึงบอกพระเยซูไม่แฟร์   ไม่เห็นแก่ข้อเท็จจริง คนบาปไม่ควรได้โอกาส

ความจริงด้วยใจรัก จึงมากกว่าข้อเท็จจริงจะจำกัดได้


การพูดความจริงแล้วต้องโกหก  เพื่อเอาชีวิตรอด คือความจริงด้วยใจรักไหม?

ในบัญญัติสอนว่า อย่าเป็นพยานเท็จ ใส่ร้ายเพื่อนบ้าน คือทำชาวบ้านเดือดร้อน

ไม่ได้หมายความว่าอย่าโกหก
คุณจำเป็นต้องโกหก    เพื่อชีวิต  ไม่ใช่เพื่อให้ใครเดือดร้อน  ไม่ใช่สิ่งผิดบัญญัติ  เพื่อการค้าขาย ต้องบอกราคาต้นทุนแบบโกหก    บอกว่าไม่หิว  หรือสบายดี  เพื่อคนอื่นสบายใจ  เพื่อชีวิตจะไปต่อ  เพื่อลบบาปเพื่อนบ้าน  มิใช่เอาเอาข้อเท็จจริงไปขว้างหินใส่เขาอย่างเดียว

เพราะคนเราโกหกกันทั้งนั้น สดด116:11 ข้าพเจ้ากล่าวด้วยความเร่งร้อนว่า "คนเรานี้เป็นคนโกหกทั้งนั้น"
แต่อย่าโกหกเพื่อให้คนอื่นเดือดร้อน มิเช่นนั้นเป็นการผิดบัญญัติ

แต่บางอย่างเราไม่พูดข้อเท็จจริงเลือกพูดความจริงด้วยใจรัก  เพื่อชีวิตจะดำเนินต่อ
สภษ 17:9 
บุคคลผู้ปิดบังการละเมิดก็เสาะหาความรัก

บทเรียนจาก ดาวิดเองต้องโกหก ด้วยการแกล้งบ้า เพื่อไม่ถูกฆ่าตาย
หรือเราต้องเลี่ยง ด้วยการให้ข้อมูลอีกด้าน
เช่นพระเยซู ถูกทดลองด้วยข้อเท็จจริง ที่ต้องขว้างหินใส่หญิงโสเภณี
แต่พระเยซูเลือกหาทางออกด้านความจริง  คือชีวิตต้องไปต่อ
อับราฮัมและอิสอัค เลือกตอบความจริงบางมุม เพื่อชีวิตจะไปต่อได้


พระเจ้าให้บัญญัตืมาแล้ว เราจะใช้ ข้อเท็จจริง หรือใช้โดยความจริงด้วยใจรัก
เป็นสิทธิของมนุษย์

ผลไม้รู้ดีรู้ชั่ว กับผลไม้แห่งชีวิต   การพูดความจริงด้วยใจรัก คือการเลือกที่จะกินผลไม้แห่งชีวิต
มากกว่าการเลือกผลจากการเอาดีเอาชั่ว นั่นเอง

วันอังคารที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2562

เปาโลยืนยันตัวเองว่าตนนั้นอยู่ในฝ่าย ธรรมบัญญัติ

เปาโลยืนยันตัวเองว่าตนนั้นอยู่ในฝ่าย ธรรมบัญญัติ

เปาโลได้เดินทางไปยังกรุงเยรูซาเล็มท่ามกลางความเสี่ยง
เพราะที่เยรูซาเล็มมีคนคอยปองร้ายเปาโลอยู่

เพราะเขาได้ยินว่า ท่านสั่งสอนให้คนเลิกสุหนัต และเลิกประพฤติตามธรรมบัญญัติ
ซึ่งเหตุการณ์นี่อยู่ในพระธรรม กจ 21

18 ครั้นรุ่งขึ้น เปาโลกับเราทั้งหลายจึงเข้าไปหายากอบ และพวกผู้ปกครองก็อยู่พร้อมกันที่นั่น

19 เมื่อเปาโลคำนับท่านเหล่านั้นแล้ว จึงได้กล่าวถึงเหตุการณ์ทั้งปวงตามลำดับ ซึ่งพระเจ้าทรงโปรดกระทำในหมู่คนต่างชาติโดยการปรนนิบัติของท่าน

20 ครั้นคนทั้งหลายได้ยินจึงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า และกล่าวแก่เปาโลว่า "พี่เอ๋ย ท่านเห็นว่ามีพวกยิวสักกี่พันคนที่เชื่อถือ และทุกคนยังมีใจร้อนรนในการถือพระราชบัญญัติ

21 เขาทั้งหลายได้ยินถึงท่านว่า ท่านได้สั่งสอนพวกยิวทั้งปวงที่อยู่ในหมู่ชนต่างชาติให้ละทิ้งโมเสส และว่าไม่ต้องให้บุตรของตนเข้าสุหนัตหรือประพฤติตามธรรมเนียมเก่านั้น

22 เรื่องนั้นเป็นอย่างไร คนเป็นอันมากจะต้องมาประชุมกัน เพราะเขาทั้งหลายจะได้ยินว่าท่านมาแล้ว

หลังจากข้อ 22 ไม่มีคำตอบของเปาโลว่าท่านจะว่าอย่างไร
ตอนนี้เหมือนโดนตัดหายไป
23 เหตุฉะนั้นจงทำอย่างนี้ตามที่เราจะบอกแก่ท่าน คือว่าเรามีชายสี่คนที่ได้ปฏิญาณตัวไว้

24 ท่านจงพาคนเหล่านั้นไปชำระตัวด้วยกันกับเขาและเสียเงินแทนเขา เพื่อเขาจะได้โกนศีรษะ คนทั้งหลายจึงจะรู้ว่าความที่เขาได้ยินถึงท่านนั้นเป็นความเท็จ แต่ท่านเองดำเนินชีวิตให้มีระเบียบและรักษาพระราชบัญญัติอยู่ด้วย
ตรงนี้ผู้เชื่อ  ที่ช่วยเปาโลได้ให้เปาโล ไปโกนหัวเป็นนาศีร์
และรักษาชีวิต 7 วันตามธรรมบัญญัติ
เพื่อคนทั้งปวงจะเห็นและเข้าใจว่า เปาโลนั้นยังเดินตามธรรมบัญญัติ

ใน กดว 6 :
18 และผู้เป็นนาศีร์จะโกนศีรษะแห่งการปลีกตัวนั้นที่ประตูพลับพลาแห่งชุมนุม และนำเอาผมที่ศีรษะแห่งการปลีกตัวนั้นไปใส่ไฟที่อยู่ใต้เครื่องสันติบูชาเสีย

จากการที่ท่านปฎิฎาณครั้งนี้เพื่อจะบอกโลกว่า
ท่านไม่ได้ปฎิเสธ  เรื่องการสุหนัต หรือรักษาพระบัญญัติ อย่างที่หลายคนเข้าใจผิด


การเข้าใจผิดนั้น ไม่ได้มีในยุคของเปาโลเท่านั้น ปัจจุบันคนอ่านหนังสือเปาโลก็ยังคิดแบบนั้นอยู่ ว่าท่านไม่เอาสุหนัตและพระบัญญัติ

ดังที่เปโตรเคยเตือนผู้ที่อ่านหนัะงสือเปาโลในยุคนั้นแล้วว่า
2ปต3:16 ดังที่เปาโลน้องที่รักของเราได้เขียนจดหมายถึงท่านทั้งหลายด้วย ตามสติปัญญาซึ่งพระองค์ได้ทรงโปรดประทานแก่ท่านนั้น

16 เหมือนในจดหมายของท่านทุกฉบับ ท่านได้กล่าวถึงเหตุการณ์เหล่านั้น และในจดหมายนั้นมีบางข้อที่เข้าใจยาก ซึ่งคนทั้งหลายที่ไม่ได้เรียนรู้และไม่แน่นอนมั่นคงนั้นได้เปลี่ยนแปลงเสีย เหมือนเขาได้เปลี่ยนแปลงข้ออื่นๆในพระคัมภีร์ จึงเป็นเหตุกระทำให้ตัวพินาศ

17 เพราะเหตุนั้น พวกที่รัก เมื่อท่านทั้งหลายรู้เรื่องนี้ก่อนแล้ว ท่านก็จงระวังให้ดี เกรงว่าท่านอาจจะหลงไปกระทำผิดตามการผิดของคนชั่ว และท่านทั้งหลายจะสูญเสียความหนักแน่นมั่นคงของท่าน
ท่านอ่านหนังสือของเปาโลแล้วท่านรู้สึกว่า  เปาโลไม่เอาสุหนัต และบัญญัติพระเจ้า
ท่านกำลังเข้าใจผิดแล้ว


เปาโลฟื้นมาบอกท่านไม่ได้  แต่ท่านโกนหัว ใน กจ 21 เพื่อเป็นพยานว่าท่านไม่ได้คิดอย่างนั้น
แต่ถ้าคนรุ่นหลังยังคงคิดแบบนั้น ท่านคงต้องเอาเปาโลไปโกนอีกเพื่อพิสูจน์ ครั้งแล้วครั้งเล่า
จนกว่าท่านจะเชื่อ