วันจันทร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2560

เวลาเเห่งการลงทัณฑ์อิสราเอล

การเผยพระวจนะของเอเศเคียล
เรื่องเวลาเเห่งการลงทัณฑ์อิสราเอล


การลงทัณฑ์ของอิสราเอล คำนวนอย่างไร เราสามารถศึกษาได้ในพระคัมภีร์

พระเจ้าได้วางการลงพัณฑ์ลงบนชนชาติอิสราเอล โดยพยากรณ์ผ่าน เอเศคียลผู้เผยพระวจนะ โดยให้ท่าน นอน ซึ่งปรากฏในพระธรรม เอเศเคียลบทที่ 4:4-6

""แล้วเจ้าจงนอนตะแคงข้างซ้าย และเราจะวางการลงทัณฑ์พงศ์พันธุ์อิสราเอลไว้เหนือเจ้า เจ้านอนทับอยู่กี่วัน เจ้าจะแบกการลงทัณฑ์ของนครนั้นเท่านั้นวัน 5 เพราะเราได้กำหนดวันให้แก่เจ้าแล้ว คือสามร้อยเก้าสิบวันเท่ากับจำนวนปี แห่งการลงทัณฑ์ของเขา เจ้าจะต้องแบกการลงทัณฑ์พงศ์พันธุ์อิสราเอลนานเท่านั้น 6 และเมื่อเจ้ากระทำเช่นนี้ครบวันแล้ว เจ้าจะต้องนอนลงเป็นครั้งที่สอง แต่นอนตะแคงข้างขวาและแบกการลงทัณฑ์พงศ์พันธุ์ยูดาห์ เรากำหนดให้เจ้าสี่สิบวัน วันแทนปี""


  







การเผยพระวจนะของเอเศคียล สรุปได้ว่า
พระเจ้าทรงลงฑัณฑ์อิสราเอล 390 ปี และลงฑัณฑ์ยูดา 40 ปี
รวมเวลาลงฑัณฑ์ที่แปลตามความหมายที่เอศียลต้องนอนทั้งสิ้น 430 ปี

อิสราเอลและยูดา ตกเปนเชลย ในอณาจักรบาบิโลน ในปี กคศ 606
และมีคำพยากรณ์ซึ่งมาจากผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์อีกใน พระธรรม เยเรมีย์บทที่ 25 ข้อ 8-12
กล่าวไว้ว่า
แผ่นดินนี้ทั้งสิ้นจะเป็นที่เริศร้างและทิ้งร้าง และบรรดาประชาชาติเหล่านี้จะปรนนิบัติกษัตริย์ กรุงบาบิโลนอยู่เจ็ดสิบปี 12 พระเจ้าตรัสว่า เมื่อครบเจ็ดสิบปีแล้ว เราจะลงโทษกษัตริย์บาบิโลนและประชาชนชาตินั้น
และเหตุการณ์ก็เป็นไปตามที่เยเรมีพยากรณ์ทุกประการ อิสราเอลเป็นเชลย 70 ปี ที่บาบิโลน ครั้น 70 ปีผ่านไป อณาจักรมีเดียเปอร์เซียก็เข้ามาพิชิตอย่างรวดเร็ว กษัตริย์ ไซรัสแห่งเปอร์เซียปล่อยคนยิวกลับบ้าน การลงฑัณฑ์องพระเจ้า จาก 430 ปี จึงเหลือ 360 ปี


 



แต่เหตุการณ์ไม่เป็นตามคาด ชาวยิวที่อาศัยที่บาบิโลนนั้นเริ่มถูกกลืนชาติ เขาลุ่มหลงกับความเจริญของบาบิโลน บาบิโลนเป็นเมืองที่ศิวิไล ที่สุดในยุคนั้น ทั้งสิ่งก่อสร้างวัตธรรม ละบาบิโลนคือศูนย์กลางแห่งการค้า ชาวยิวมั่งคั่งที่นั่น โดยมีดาเนียลชาวยิว เป็นผ็มีอำนาจสูงสุดรองจากกษัตริย์เท่านั้น บาบิโลนได้ดึงใจชาวยิวไม่อยากกลับไปที่เยรูซาเล็มอีกเพราะที่นั่นเป็นเพียงแผ่นดินที่ร้างเปล่า และแน่นอนพระเจ้าทรงกระทำตามกฎของพระองค์



พระธรรมเลวีนิติ บทที่ 26:18 กล่าวว่า
คนที่เกลียดชังเจ้าจะปกครองอยู่เหนือเจ้า เจ้าจะหลบหนีไปทั้งที่ไม่มีใครไล่ติดตาม 18 และเมื่อเป็นอย่างนี้แล้วเจ้าทั้งหลายยังไม่ฟังเรา เราก็จะตีสอนเจ้าอีกด้วยโทษที่เจ้าผิดถึงเจ็ดเท่า
360 x7 =2520
จึงกลายเป็นโทษ 2,520 ปี

การกำหนดโทษของพระเจ้านั้นจริงจัง เมื่อเรานำมาคำนวณวันเวลาที่พ้นโทษ เราจะสามารถรู้วันเวลาได้ว่า หมดโทษ คือเวลาใด
โทษเจ็ดเท่านั้นตกแก่อิสราเอล โดยนับจากปีที่กษัตริย์ไซรัสปลดปล่อยอิสราเอลจากโทษ 360 ปี
โทษของชาวยิวคือ 2,520 ปีซึ่งปฎิทินยิวนั้นมี 360 วันดังนั้น จึงต้องนับเป็นวันจะเท่ากับ 907,200วัน ซึ่งนำมาคำนวณเป็นปีสากลจะเท่ากับ 2,483.8 ปีสากล
กษัตริย์ไซรัสทรงอนุญาตให้เชลยอิสราเอลกลับประเทศในปี 536 ก่อนคริสตกาล การลงโทษเจ็ดเท่าของพระเจ้า
2483.8 - 536 =1947.8
กำหนดโทษจะสิ้นสุดที่ปี 1948


และในวันที่ 14 เดือนพฤษภาคมปี 1948 นั่นเองประวัติศาสตร์ต้องบันทึกว่า มีการจัดตั้งประเทศอิสราเอลขึ้น บนผืนดินที่เคยมีประเทศอิราเอลมาก่อน หลังจากสิ้นชาตินานถึง 2,000 ปี และไม่มีเอกราชนานกว่า 2500 ปี
สิ้นสุดเวลาลงทัณฑ์ของพระเจ้า


(จากส่วนหนึ่งของบทสารคดี 70 สัปตะ ปี 2008 ของชนะ ชัยประเสริฐ)

เพลง 

By the Rivers of Babylonโดย BonyM
จากเนื้อหาพระธรรมสดุดี  137



วันศุกร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2560

ความจริงพระวจนะเกี่ยวกับนรก

ผมคิดว่าในเรื่องความตายนั้นผู้เชื่อในพระเจ้ายังไม่ค่อยมีการสอนการฟันธงที่ชัดเจน เพราะไม่เคยมีใครเคยตายแล้วฟื้นเพื่อมาเขียนบทเรียนบรรยายเรื่องชีวิตหลังความตาย  แต่พระวจนะได้เขียนไว้ให้แก่เราจนเราทราบได้อย่างเข้าใจ ว่าเราตายแล้วเราจะไปไหน ในระบบที่พระเจ้าวางไว้นั้น พระเจ้าจะจัดการอย่างไรต่อ

ผมขอเปรียบว่าร่างกายเราเหมือนรถ เมื่อรถเสีย  ขับต่อไม่ได้แล้วคนขับก็เดินออกมาจากรถ
นั่นคือจิตวิญญาณของเรา ส่วนรถก็คือเรือนดินที่พังทลายลง   ปญจ 12:7 และผงคลีกลับไปเป็นดินอย่างเดิม และจิตวิญญาณกลับไปสู่พระเจ้าผู้ประทานให้มานั้น
แต่คำถามคือ?
ปญจ 3:21 ใครรู้ว่าจิตวิญญาณของมนุษย์ไปสู่เบื้องบนหรือเปล่า และวิญญาณของสัตว์เดียรัจฉานลงไปสู่พิภพโลกหรือเปล่า

เรารู้ว่าที่สวรรค์มีลักษณะของสัตว์บางประเภทที่หน้าพระที่นั่ง ซึ่งยังไม่ขอพูดถึงในเวลานี้
เรามาให้ความสำคัญของเรื่องจิตวิญญาณของมนุษย์ ไปที่ไหนกันก่อน?



เรามาดูในภาษาฮีบรูเรียกสถาานที่แห่งความตายไว้สองคำที่น่าสนใจคือ เชโอลsheol ภาษากรีกเรียก ฮาเดช hades  
และอีกสถานที่คือ 
  ฮินโนม hinnom ภาษาฮีบรู ส่วนภาษากรีกเรียกเกเฮน่า gehenna

เชโฮล หมายถึงหลุมศพ เป็นที่ฝังร่างผู้ตาย หรือ อุโมค์ฝังศพ หรือเรียกว่าเรียกปากแดนผู้ตายด้วย หรือใน มธ28:1 ใช้เรียกอุโมงค์ของพระเยซู อิสยาห์ 5:14 เพราะฉะนั้นแดนคนตายก็ขยายคอของมันออก และอ้าปากเสียเกินขนาด และพวกเจ้านายของเยรูซาเล็ม และมวลชนของเมืองนั้นก็ลงไป
แดนคนตายตรงนี้ก็ใช้คำว่า เชโอล หรือใน สภษ27:20 แดนผู้ตายและแดนพินาศไม่รู้จักอิ่ม 
ยาโคบก็บอกว่าตนเองจะไปยัง เชโอล  ปฐก37:35 อย่าเลย เราจะโศกเศร้าถึงลูกเราจนกว่าเรา จะตามลงไปยังแดนคนตาย"ฉะนั้นการอยู่ที่เชโอนมีทั้งผู้เชื่อและผู่ที่ไม่เชื่อด้วย  
"เชโอล" คือหลุมฝังศพทั่วไปของมนุษยชาติ เป็นสถานที่ในเชิงเปรียบเทียบที่ซึ่งมนุษยชาติส่วนใหญ่หลับอยู่ในความตาย.



ในความตายระดับ ชโอน พระเยซูอธิบายในอุปมาของพระองค์ว่า
22 อยู่มาคนขอทานนั้นตาย และเหล่าทูตสวรรค์ได้นำเขาไปไว้ที่อกของอับราฮัม ฝ่ายเศรษฐีนั้นก็ตายด้วย และเขาก็ฝังไว้



23 แล้วเมื่ออยู่ในแดนมรณาเป็นทุกข์ทรมานยิ่งนัก เศรษฐีนั้นจึงแหงนดูเห็นอับราฮัมอยู่แต่ไกล และลาซารัสอยู่ที่อกของท่าน


อกของอับราฮัม เป็นดินแดนหนึ่งที่เป็นที่พักสงบของผู้ที่เชื่อในพระเจ้า
หรือเรียกว่าเมืองบรมสุขเกษม  พระเยซูก็บอกโจรที่ไม่กางเขนเช่นกันว่าเจอกันที่เมืองบรมสุขเกษม
เป็นสถานที่จำลองส่วนหนึ่งของสวรรค์  บ้างก็เรียกว่าเป็นสวรรค์ชั้น 2 เป็นอีกมิติของสวรรค์ชั้น 1คือท้องฟ้าของโลก  ส่วนสวรรค์ชั้นสามคือ สวรรค์ จริงๆ เป็นการเรียกเพื่อแบ่งอณาเขตความเข้าใจ
ไม่มีในพระคัมภีร์



2 โครินธ์12:2, “ข้าพเจ้าได้รู้จักชายคนหนึ่งผู้เลื่อมใสในพระคริสต์สิบสี่ปีมาแล้ว เขาถูกรับขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นทีสาม  
ขณะที่ผู้ที่พระเจ้าไม่เอานั้นไม่ได้ไปที่เมืองบรมสุขเกษมแต่เป็นการถูกไฟเผาที่แดนมรณา

มาดูที่ชโอนกันต่อนะครับ
23 แล้วเมื่ออยู่ในแดนมรณา (เชโอน) เป็นทุกข์ทรมานยิ่งนัก เศรษฐีนั้นจึงแหงนดูเห็นอับราฮัมอยู่แต่ไกล และลาซารัสอยู่ที่อกของท่าน

24 เศรษฐีจึงร้องว่า 'อับราฮัมบิดาเจ้าข้า ขอเอ็นดูข้าพเจ้าเถิด ขอใช้ลาซารัสมา เพื่อจะเอาปลายนิ้วจุ่มน้ำมาแตะลิ้นของข้าพเจ้าให้เย็น ด้วยว่า้าพเจ้าตรำทุกข์ทรมานอยู่ในเปลวไฟนี้'

25 แต่อับราฮัมตอบว่า 'ลูกเอ๋ย เจ้าจงระลึกว่าเมื่อเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าได้ของดีสำหรับตัว และลาซารัสได้ของเลว แต่เดี๋ยวนี้เขาได้รับความล้าโลม แต่เจ้าได้รับความแสนระทม
26 นอกจากนั้น ระหว่างพวกเรากับพวกเจ้ามีเหวใหญ่ตั้งขวางอยู่ เพื่อว่าถ้าผู้ใดปรารถนาจะข้ามไปจากที่นี่ถึงเจ้าก็ไม่ได้ หรือถ้าจะข้ามจากที่ั่นมาถึงเราก็ไม่ได้'

ในระดับจิตวิญญาณนั้นนั้นมีการแบ่งกันชัดเจนคือการพักสงบและการถูกเผา
มีฑุตตนหนึ่งคือ Abaddon หรืออับดุล เป็นฑุตแห่งการล้างผลาญ อยู่ในพื้นที่ เชโอน
วิวรณ์ 9:11 มันมีทูตแห่งช่องบาดาลนั้นเป็นกษัตริย์ปกครองมัน ชื่อทูตแห่งช่องบาดาลนั้น ภาษาฮีบรูเรียกว่าอาบัดโดน และภาษากรีกเรียกว่าอปอลลิยน  (Apollian)
อับดุลเป็นกษัตริย์ ปกครอง หรือเราเรียกมัจจุราชก็น่าจะพอเห็นภาพ  ส่วนกรีกเขียนว่าอปอลลิยน เป็นชื่อกองพันที่ 15 ของโรมที่เข้าไปทำลายกรุงเยรูซาเล็ม  

โยบ 26:6 6 แดนคนตาย(sheol) เปลือยอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้า และแดนพินาศ (Abaddon) ไม่มีผ้าห่ม
โยบ 28:22: การทำลาย และความตาย (Abaddon)กล่าว ..
สภษ15:11 แดนผู้ตาย(sheol) และแดนพินาศ(Abaddon) ก็ประจักษ์แจ้งอยู่เฉพาะพระเจ้า ใจของมนุษย์จะแจ้งเฉพาะพระองค์ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด

อย่างไรก็ตามความตายในระดับ เชโอล นี้เป็นความตายที่จะฟื้นขึ้น
กจ24:15 ข้าพเจ้ามีความหวังใจในพระเจ้า ตามซึ่งเขาเองก็มีความหวังใจด้วย คือหวังใจว่าคนทั้งปวงทั้งคนที่ชอบธรรม และคนที่ไม่ชอบธรรมจะเป็นขึ้นมาจากความตาย (เชโอน)
วว 20:13 ทะเลก็ส่งคืนคนทั้งหลายที่ตายในทะเล ความตายและแดนมรณา(เชโอน) ก็ส่งคืนคนทั้งหลายที่อยู่ในแดนนั้น และคนทั้งหลายก็ถูกพิพากษาตามการระทำของตนหมดทุกคน

……

ส่วนเกเฮน่า Gehenna ที่มาจากคำว่า ฮินโนม hinnom ในภาษาฮีบรู คือนรกชุมลึก ที่มีการพิพากษาแล้ว
ความหมายของภาษามาจาก หุบเขาของฮินโนม ที่นั่นเป็นที่ทำการชั่วร้ายของกษัตริย์อาหัส และมนัสเสห์และชื่อสถานที่ จึงถูกเรียกขึ้นเพื่อแทนคำว่านรก  เราเห็นวัฒนธรรมการเรียกนรกของยิวจากสิ่งที่เขาเอามาเปรียบตลอด  เช่นที่กล่าวไปคือ เรียก Apollian ฑุตแห่งการล้างผลาญมาจาก ชื่อกองทัพโรมมัน กองพันที่15 ที่เข้ามาทำลายกรุง   ฮินโนมถูกนำมาแทนคำว่านรกก็เช่นกัน  มาดูประวัติพระคัมภีร์บันทึกว่า
ยชว 15:8 แล้วพรมแดนก็ยื่นไปตามหุบเขาบุตร”ฮินโนม “ 
2 พศด 28:3 และพระองค์ (อาหัส)ทรงเผาเครื่องหอมที่หุบเขาบุตร”ฮินโนม และทรงเผาบรรดาโอรสของพระองค์เป็นเครื่องบูชา 
2 พศด 33:6 และพระองค์ (มนัสเสห์) ได้ทรงถวายโอรสของพระองค์ให้ลุยไฟ เป็นเครื่องบูชาในหุบเขาบุตร”ฮินโนม” ถือฤกษ์ยาม เวทมนตร์ วิทยาคม และติดต่อกับนทรงและพ่อมดแม่มด พระองค์ทรงกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายเป็นอันมากในสายพระเนตรพระเจ้า กระทำให้พระองค์ทรงพระพิโรธ

ชื่อของสถานที่แห่งนั้นจึงกลายเป็นชื่อเรียกสถานที่แห่งการถูกทำลายอย่างสิ้นซาก หรือใช้แทนนรกของคนที่ถูกพิพากษาแล้ว

ยรม 7:31 และได้สร้างที่สูงของโทเฟท ซึ่งอยู่ในหุบเขาแห่งบุตรชายของ “ฮินโนม เพื่อจะเผาบุตรชายและบุตรหญิงของเขา ทั้งหลายเสียด้วยไฟ ซึ่งรามิได้บัญชา และไม่เคยมีขึ้นในใจของเรา
ยรม 7:32 พระเจ้าตรัสว่า เพราะฉะนั้น ดูเถิด วันเวลาจะมาถึงเมื่อ เขาจะไม่เรียกที่นั้นอีกว่าโทเฟท หรือภูเขาแห่งบุตรชาย”ฮินโนม แต่จะเรียกว่า หุบขาแห่งการฆ่าฟันกัน เพราะเขาจะฝังกันไว้ในโทเฟท เพราะแห่งอื่นไม่มีที่ว่างแล้ว

จาดวัฒนธรรมการทิ้งซากศพและขยะที่หุบเขาแห่งนี้ ซึ่งกลายเป็นหุบเขาแห่งความตาย 
คำว่า ฮิมโนม ในภาษาฮีบรู จึงใช้แทนคำว่านรก เรื่อยมา เป็น คำวิเศษณ์ สำหรับ "นรก"
และถูกใช้แทนด้วยคำว่าเกฮิน่า gehenna มาจาก เกฮิมโนม Gehinnom นั่นเอง เป็นภาษาอารเมอิก Gēhannā (ܓܗܢܐ) 
การแปลความหมายของคำศัพท์ภาษาอราเมอิกเก่าแก่ของภาษาฮีบรูไบเบิลที่รู้จักกันในชื่อ Targums ให้คำว่า "Gehinnom" หมายถึงความตายครั้งที่สอง   

พระเยซูใช้คำนี้ บ่อยๆ   เช่น  มธ 10:28 อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่มีอำนาจที่จะฆ่าจิตวิญญาณ แต่จงกลัวพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ ที่จะให้ทั้งจิตวิญญาณทั้งกายพินาศในนรก (gehenna) ได้

หรือ มก9:47 ถ้าตาของท่านทำให้ท่านหลงผิด จงควักออกทิ้งเสีย ซึ่งจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าด้วยตาข้างเดียวยังดีกว่ามีสองตา และต้องถูกทิ้งไปในนรก (gehenna) 48 ในที่นั้นตัวหนอนก็ไม่ตายและไฟก็ไม่ดับเลย

หรือ มธ18:ถ้ามือหรือเท้าของท่านทำให้ท่านหลงผิด จงตัดทิ้งเสีย ซึ่งจะเข้าในชีวิตนิรันดร์ด้วยมือและเท้าด้วน หรือพิการยังดีกว่ามีสองมือสองเท้า ละต้องถูกทิ้งในไฟซึ่งไหม้อยู่เป็นนิตย์
9 ถ้าตาของท่านทำให้ท่านหลงผิด จงควักออกทิ้งเสีย ซึ่งจะเข้าในชีวิตด้วยตาข้างเดียว ยังดีกว่ามีสองตาและต้องถูกทิ้งไปในไฟนรก (gehenna) 

บทสรุปส่งท้าย

13 ทะเลก็ส่งคืนคนทั้งหลายที่ตายในทะเล ความตาย  และแดนมรณา (เชโอลsheol)ก็ส่งคืนคนทั้งหลายที่อยู่ในแดนนั้น และคนทั้งหลายก็ถูกพิพากษาตามการระทำของตนหมดทุกคน

14 แล้วความตาย และแดนมรณาก็ถูกผลักทิ้งลงไปในบึงไฟ บึงไฟนี่แหละเป็นความตายครั้งที่สอง  "Gehinnom”เกฮิมโนน เกเฮน่า หรือฮิมโนน นั่นเอง


ฉะนั้นเราจึงสรุปได้ว่า การฟื้นขึ้นนั้นมีจริง นรกมีจริง การลงโทษมีจริง  และการพิพากาานั้นก็ มีจริง และสิ่งเหล่านี้เป็นทางเลือก เพื่อใช้คำว่า นิรันดร์ ต่อท้าย จะชีวิตนิรัดร์ หรืออับอายนิรัดร์ เท่านั้น



ดนล 12: 2 และคนเป็นอันมากในพวกที่หลับ ในผงคลีแห่งแผ่นดินโลกจะตื่นขึ้น บ้างก็จะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์ บ้างก็เข้าสู่ความอับอายและความขายหน้านรันดร์
พระเยซูไม่ได้เกิดวันที่ 25 ธันวาคม

มีหลายท่านทราบว่าวันที่ 25 ธันวาคมนั้น มาจากการที่ชาวโรมมันเฉลิมฉลองเทศกาลบูชาดวงอาทิตย์ หรือเจ้าพ่อทัมมุส  และเมื่ออณาจักรโรมมันมาเชื่อในศาสนาคริสต์นั้น  ได้นำเอาวันบูชาเทพเจ้าดังกล่าวมาเปลี่ยนเป็นวันบังเกิดของพระเยซูคริสต์ เพื่อใช้เป็นเวลาแห่งการเฉลิมฉลองในเทศกาลคริสต์มาส

แล้วพระเยซูจริงๆแล้วเกิดวันไหน  เป็นคำถามของผู้ที่เชื่อพระเยซูคริสต์หลายคน
เรามาดูที่พระคัมภีร์ไม่มีการกล่าวถึงมากนัก
สิ่งที่เรานำมาเป็นข้อมูลได้คือ
พระคัมภีรืได้พูดถึงการกำเนิดของพระเยซูนั้นพระเยซูห่างจากยอห์น หกเดือน
ถ้าเราหาเวลาเดือนเกิดของยอห์นได้ เราก้หาเดือนเกิดของพระเยซุได้เช่นกัน

เรามาเช็คที่พระคัมภีร์กันนะครับ

ลก 1:5 ในรัชกาลเฮโรด กษัตริย์ของยูเดีย มีปุโรหิตคนหนึ่งชื่อเศคาริยาห์ อยู่ในเวรอาบียาห์ ภรรยาของเศคาริยาห์ชื่อเอลีซาเบธ อยู่ในตระกูลอาโรน  เศคาริย์คือพ่อของยอห์น ผู้ให้บัติสมาลูกพี่น้องพระเยซูนะครับ อลิซาเบ็ธก็คือญาติของนางมารีย์ ฑูตสวรรค์มาพบท่านในเวรอาบียาห์แจ้งว่าท่านจะได้ลูกชาย

เวรอาบียา คืออะไร  คือเวรของปุโรหิตในการเข้าไปประจำการปรนนิบัติในวิหารพระเจ้า
เกิดขึ้นในสมัยดาวิด มีการจับฉลากกัน ใน1พศด 24

7 สลากแรกตกกับเยโฮยาริบ ที่สองตกแก่เยดายาห์

8 ที่สามแก่ฮาริม ที่สี่แก่เสโอริม

9 ที่ห้าแก่มัลคิยาห์ ที่หกแก่มิยามิน

10 ที่เจ็ดแก่ฮักโขส ที่แปดแก่อาบียาห์

ฯลฯ

อ่านไปเรื่อยพบว่า มีทั้งหมด 24 เวร
ซึ่งในหนึ่งปีนั้น แบ่งเป็นเดือนละ สองเวร เวรละครึ่งเดือนหรือสองสัปดาห์นั่นเอง

อาบียาห์เป็นเวรที่แปด
เวรที่แปดตรงกับเดือน   Tammuz  ซึ่งตรงกับเดือนมิถุยายน
นับตั้งแต่กลาง มิย ไป 9 เดือน  ยอห์นจะเกิดในเดือน
กลางกรกฎา สิงหา กันยา ตุลา พฤษจิกา ธีนวา  กลางมกรา กุมภา มีนา ต้นเดือนเมษา  ยอห์นเกิด
กลางธค เป็นเดือนที่หก มีอะไรเกิดขึ้นครับ
ทูตสวรรค์มาหามารีย์เพื่อบอกว่าเธอจะท้องใน

ลก 1:36 ดูเถิด ถึงนางเอลีซาเบธ ญาติของเธอชราแล้ว ก็ยังตั้งครรภ์มีบุตรเป็นชายด้วย บัดนี้ นางนั้นที่คนเขาถือว่าเป็นหญิงหมันก็มีครรภ์ได้หกเดือนแล้ว


ตอนอลิซาเบธท้องหกเดือน  นั่นคือกลางเดือนมกรา  พระเยซูปฎิสนธิแล้ว 

นับเดือนมกราคม ไป 9 เดือน ไปสุดที่กลางเดือน กันยายน เป็นเวลาคลอดของพระเยซู

ถ้าเอาให้เปะ 9 เดือนเป็นการนับตามปฎิทิน ไม่ใช่หลักการแพทย์
ถ้านับจริงๆแบบแพทย์คือตั้งท้อง 10 เดือน 40 สัปดาห์  

นับแบบนี้คือ  คือ 1เดือนมี 4 สัปดาห์ 7x4 28 เดือนละ28 วัน ซึ่งเดือนปรกติมี 30-31 วัน  เด็กปรกติจะคลอด 10 เดือน หรือ40สัปดาห์ ฉะนั้น จึงต้องนับเลย 9เดือนตามปฎิทินไป 2-3 สัปดาห์ เพื่อครบ40สัปดา แบบที่แพทย์นับ

เมื่อบวกไปสองสามสัปดาห์ พระเยซูจะเกิดช่วงระหว่าง สัปดาห์สุดท้ายของกันยา ถึงสัปดาห์แรกของตุลาคม
และนั่นก็คือเทศกาลอยู่เพิงของชาวอิสราเอลพอดี




ฉะนั้นพระเยซูเกิดช่วงเทศกาลอยู่เพิง และน่าจะเกิดในเพิงอีกด้วย
ความหมายของเพิงคือ การอยู่ในพระสิริของพระเจ้า

พระเยซูเกิดในคอกวัวไม่ใช่หรอ
ใช่ครับเพิงติดกับคอกวัวเลยครับ
เพราะชาวยิวจะเลี้ยงสัตว์ที่หน้าบ้าน ช่วงเทศกาลอยู่เพิง
คนก็จะตั้งเพิงของตนเอาไว้ที่หน้าบ้าน  
เมื่อมารีย์มาถึงเบธเลเฮ็ม ก้เป็นเทสกาอลอยู่เพิงพอดี
มาดุพระคัมภีรที่สนับสนุนเรื่องนี้กัน

ยอห์น 1:14 กล่าวว่า พระวาทะได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่(σκῆνος สกินโนส ) ท่ามกลางเรา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง เราทั้งหลายได้เห็นพระสิริของพระองค์ คือพระสิริอันสมกับพระบุตรองค์เดียวของพระบิดา 
(σκῆνος = skēnos หมายถึง ฉากที่ตั้งขึ้นเป็นเพิง )

ลูกา 2:16 เขาก็รีบไปแล้วพบนางมารีย์กับโยเซฟ และพบพระกุมารนั้นนอนอยู่ในรางหญ้า​ (φάτνη -phatne) คำภาษากรีกคือ phatne แปลว่า รางหญ้า, โรงเก็บสัตว์ คอกสัตว์ตั้งขึ้นแบบชั่วคราว คำฮีบรูที่เหมือนกับ phatne พาทะนี: SUKKAH (พลับพลา/เพิง)



เทศกาลอยู่เพิงคืออะไร
ในช่วงที่อิสราเอลเดินทางที่ถิ่นทุรกันดารนั้น พระเจ้าทรงปกป้องเขาอยู่ภายใต้ เสาเมฆและเสาเพลิง
สดุดี 121:5-7 
5 พระเจ้าทรงเป็นผู้อารักขาท่าน พระเจ้าทรงเป็นที่กำบังที่ข้างขวามือของท่าน
6 ดวงอาทิตย์จะไม่โจมตีท่านในเวลากลางวัน หรือดวงจันทร์ในเวลากลางคืน
7 พระเจ้าจะทรงอารักขาท่านให้พ้นภยันตรายทั้งสิ้นพระองค์จะทรงอารักขาชีวิตของท่าน

พระเจ้ากำหนดให้ลึกถึงการอยู่ภายใต้พระสิรินี้ด้วยเทศกาลอยู่เพิง
ลนต.23:24-43 “...วันที่ 15 ของเดือนที่ 7 เป็นวันเริ่มเฉลิมฉลอง เทศกาลอยู่เพิงขององค์พระผู้เป็นเจ้า และให้ฉลองไปจนครบ 7 วัน 

ซึ่งชาวยิวจะกางเพิงชั่วคราวเอาไว้ที่หน้าบ้านเจ็ดวัน อ่านพระคัมภีร์ และกินเลี้ยงเฉลิมฉลองกัน

เป็นอนุสรณ์ถึงการอยู่ในพระสิริของพระเจ้า



........
เรียบเรียงข้อมูลโดย
ชนะ ชัยประเสริฐ