วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

วิหารหลังที่สามสำคัญอย่างไร




กษัตริย์ดาวิดมีดำริในการที่สร้างพระวิหารให้แก่พระเจ้า  ทรงอธิษฐานฝากการงานทั้งสิ้นแด่พระยาเวย์
ดาวิดได้อธิษฐานประโยคหนึ่งว่า 

1พศด 29 : 18 โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของอับราฮัม อิสอัคและอิสราเอลบรรพบุรุษของข้าพระองค์ทั้งหลาย 
ขอพระองค์ทรงรักษาความประสงค์แห่งความคิดในใจของประชาชนของพระองค์ให้เป็นเช่นนี้เสมอไป 
และขอทรงตั้งจิตใจของเขาทั้งหลายให้มั่นในพระองค์

การสร้างวิหารถือเป็นภาระกิจของชาวอิสราเอลในทุกยุคสมัย
วิหารซาโลมอนสร้างขึ้นมาอย่างโอ่อ่าตระการ  และถูกทำลายลงโดยกองทัพบาบิโลน
วิหารถูกสร้างอีกครั้งในสมัยเอสรา เศรุบาเบล เดินทางกลับมาจากการเป็นเชลย และสมบูรณ์ยิ่งใหญ่ในยุคของเฮโรด
ถูกทำลายโดยกองทัพของบาบิโลน





และปัจจุบันนี่คือแผนการสร้างวิหารครั้งที่สามที่กำลังจะเกิดขึ้นในยุคของเรา
เมื่ออิสราเอลสร้างชาติขึ้นมาอีกครั้งท่ามกลางสงคราม ในวาระครบ 70 ปี
มีการประกาศถึงเรื่องนี้อย่างเปิดเผย  และจากข้อมูลที่เชื่อถือได้ เหล่านี้มีการเตรียมการกันนับร้อยปีมาแล้วจนเป็นที่น่าจับตาไปถึง คำพยากรณ์ปลายยุค

 

คำพยากรณ์ในพระคัมภีร์ สำเร็จไปประมาณ 30 % แล้ว
คงเหลือเพียงคำพยากรณ์เรื่องเหตุการณ์การเสด็จกลับมา และคำพยากรณ์เกี่ยวกับยุคพันปีเท่านั้นที่ยังรอเวลาอยู่






ที่ผมเขียนเรื่องวิหารหลังที่สามเพราะ
วิหารมีความสำคัญเกี่ยวข้องกับการเสด็จมาของพระเยซู
เรามาดูกันว่ามีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันอย่งไร  เริ่มตั้งแต่เยรูซาเล็มเป็นของอิสราเอลก่อน

ลก 21 : 24 เขาจะล้มลงด้วยคมดาบ และต้องถูกกวาดเอาไปเป็นเชลยทั่วทุกประชาชาติ และคนต่างชาติจะเหยียบย่ำกรุงเยรูซาเล็ม จนกว่าเวลากำหนดของคนต่างชาตินั้นจะครบถ้วน

 พระเยซูได้พยากรณ์ถึงการที่โรมมันจะเข้ามาทำลายเยรูซาเล็มในปี คศ 70
และได้พยากรณ์ว่า “คนต่างชาติจะเหยียบย่ำกรุงเยรูซาเล็ม จนกว่าเวลากำหนดของคนต่างชาตินั้นจะครบถ้วน”  คำนี้ต้องขยาย
มีเวลากำหนดที่ครบถ้วน ซึ่งเราสามารถศึกษาได้ใน คำพยากรณ์เรื่อง 70สัปตะ  ถึงเวลาที่ครบถ้วนนั้น
และเมื่อครบถ้วน  ก็ “หมดเวลาของคนต่างชาติ”  ดูต่อ


25 จะมีหมายสำคัญที่ดวงอาทิตย์ ที่ดวงจันทร์ และที่ดวงดาวทั้งปวง และบนแผ่นดินก็จะมีความทุกข์ร้อนตามชาติต่างๆ ซึ่งมีความฉงนสนเท่ห์เพราะเสียงกึกก้องของทะเลและคลื่น
26 จิตใจมนุษย์ก็จะสลบไสลไปเพราะความกลัว และเพราะสังหรณ์ถึงเหตุการณ์ซึ่งจะบังเกิดในโลก ด้วยว่า `บรรดาสิ่งที่มีอำนาจในท้องฟ้าจะสะเทือนสะท้านไป'
27 เมื่อนั้นเขาจะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาในเมฆ ทรงฤทธานุภาพและสง่าราศีเป็นอันมาก


มีเหตุการณ์วิบัติต่างๆที่จะเกิดขึ้นตามมา  ซึ่งในคำพยากรณ์เรื่อง 70 สัปตะก็ได้พยากรณ์เอาไว้เช่นกัน  และมีการทำสัญญา 7 ปี และจะมีการทรยศระหว่างนั้น
จนถึง พระคริสต์ก็จะเสด็จกลับมา (ซึ่งรายละเอียดตรงนี้ขอข้ามไปก่อน)

 ดนล 9:26 และประชาชนของประมุขผู้หนึ่งที่จะมานั้นจะทำลายกรุงและสถานบริสุทธิ์เสีย ที่สุดปลายของมันจะมาถึงด้วยน้ำท่วม และจนสงครามสิ้นสุดลงก็มีการรกร้างกำหนดไว้

27 ท่านจะยืนยันพันธสัญญากับคนเป็นอันมากอยู่หนึ่งสัปดาห์ และในระหว่างกลางสัปดาห์นั้นท่านจะกระทำให้การถวายสัตวบูชา 
และเครื่องบูชาอื่นๆหยุดไป และเพราะเหตุมีความสะอิดสะเอียนแพร่กระจายไปทั่ว ท่านจะกระทำให้มันร้างเปล่าจนสำเร็จเสร็จสิ้น และสิ่งที่กำหนดไว้จะถูกเทลงเหนือผู้ที่ร้างเปล่านั้น"


มาที่เรื่องวิหาร

มีการปรากฎเรื่องวิหารใน 7 ปีนั้น ในเรื่องสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน
เรามาดูว่าสิ่งที่สะอิดสะเอียนถูกกล่าวถึงอย่างไร

ดนล 12:11 และตั้งแต่เวลาที่ให้เลิกเครื่องเผาบูชาประจำวันเสียนั้น และให้ตั้งสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนซึ่งกระทำให้เกิดการรกร้างว่างเปล่าขึ้น จะเป็นเวลาหนึ่งพันสองร้อยเก้าสิบวัน

มีการตั้งสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน  1290 วัน
ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้เคยเกิดสมัยกษัตริย์อันทิโอกัส ได้เอารูปปั้นซุสเข้าไปในวิหารพระเจ้า และเอาเลือดหมูทาไปทั่ววิหาร
ซึ่งถูกพยากรณ์ในดาเนียลเช่นกัน  ดนล 11:31พวกเขาจะกระทำให้สถานบริสุทธิ์แห่งกองกำลังเป็นมลทิน และจะให้เลิกเครื่องเผาบูชาประจำวันนั้นเสีย และเขาทั้งหลายจะตั้งสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนซึ่งกระทำให้เกิดการรกร้างว่างเปล่าขึ้น

หากสิ่งที่จะเกิดขึ้น  จะเกิดอีกครั้งเหตุ   การณ์ของอันทิโอกัสก็เป็นเงา ว่า สิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนนั้นจะถูกตั้งในวิหาร  และพระเยซูทรงมา รับรองคำพยากรณ์นั้น

มธ24:15 เหตุฉะนั้น เมื่อท่านทั้งหลายเห็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนซึ่งกระทำให้เกิดการรกร้างว่างเปล่า ที่ดาเนียลศาสดาพยากรณ์ได้กล่าวถึงนั้น ตั้งอยู่ในสถานบริสุทธิ์" (ผู้ใดก็ตามที่ได้อ่านก็ให้ผู้นั้นเข้าใจเอาเถิด)
16 "เวลานั้นให้ผู้ที่อยู่ในแคว้นยูเดียหนีไปยังภูเขาทั้งหลาย


1290 วัน  คือเวลา สามปี ครึ่ง หรือ 42 เดือน 

ตามที่วิวรณ์ได้พยากรณ์ว่า
วิวรณ์ 12:14 แต่ทรงประทานปีกนกอินทรีใหญ่สองปีกแก่หญิงนั้น เพื่อให้นางบินหนีหน้างูเข้าไปในถิ่นทุรกันดารในสถานที่ของนาง จนถึงที่ซึ่งนางจะได้รับการเลี้ยงดู ตลอดวาระหนึ่งและสองวาระและครึ่งวาระ
หรือ  การครอบครองของอณาจักรเทียมเท็จนั้น
วว 11:2 แต่ไม่ต้องวัดลานชั้นนอกพระวิหารนั้น เพราะว่าที่นั่นได้มอบไว้แก่คนต่างชาติแล้ว และเขาจะเหยียบย่ำเมืองบริสุทธิ์ลงใต้เท้าตลอดสี่สิบสองเดือน
วว 13:5 และยอมให้สัตว์ร้ายนั้นมีปากที่พูดคำกล่าวร้ายและหมิ่นประมาท และยอมให้มันใช้อำนาจกระทำอย่างนั้นตลอดสี่สิบสองเดือน


ช่วงเวลานี้ เป็นเวลาเปิดฉากของกลียุค ที่มีวิบัติต่างๆที่พระเยซูได้พยากรณ์ และพระคัมภีรืได้กล่าวถึง





มาดูที่คำนี้
สิ่งที่น่าสะอิดสะเอียน ถูกตั้งในวิหาร 

หากกล่าวคำนี้เมื่อร้อยปีก่อนก็ไม่มีใครเชื่อว่าวิหารอะไรที่ไหน เพราะประเทศอิสราเอลก็ยังไม่มีเลย
แต่ตอนนี้ก็ใกล้ความจริงแล้วว่า จะมีวิหารเกิดขึ้น
เราไม่รู้ว่าการสร้างวิหารจะเเล้วเสร็จเมื่อไร หรือการสร้างวิหารต้องมีสัญญาสันติภาพเจ็ดปีมาข้องเกี่ยว
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อวิหารสร้างเสร็จ และมี สิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนมาตั้งเมื่อไร  อีกสามปีครึ่ง รู้กัน

วิหารสร้างเสร็จ ก็อย่าเพิ่งตกใจนะครับ รอให้สิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนมาตั้งก่อน ค่อยนับนะครับ อย่าเพิ่งออกตัวหนีไปก่อน

อีกตอนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับวิหาร เปาโลได้ตีความมาจากหนังสือ ประเภท มิชนา เรื่องการมาปรากฎตัวของ ปฎิปักษ์พระเมสิยาห์ 
ปฎิปักษ์พระคริสต์ คนนอกบัญญัติ คนนอกกฎหมาย  แล้วแต่จะเรียกนะครับ  ที่จะใช้อำนาจ 42 เดือนตามที่พยากรณ์ไว้

2 ธส 2:4 ผู้กีดกั้นขัดขวางและยกตัวขึ้นต่อสู้อะไรๆที่ได้ชื่อว่าเป็นพระเจ้า หรืออะไรๆที่เขาไหว้นมัสการนั้น แล้วมันก็นั่งในพระวิหารของพระเจ้าเหมือนอย่างพระเจ้า ประกาศตัวว่าเป็นพระเจ้า

นั่งในวิหารพระเจ้า “ ตลอดมานับพันปีเกือบสองพันปี  ไม่มีวิหารของพระเจ้าที่เยรูซาเล็ม หลายๆคนจึงเข้าใจว่ามะนน่าจะเกิดไปตั้งแต่ คศ 70 ที่วิหารถูกทำลายแล้ว ซึ่งเมื่อวิเคราะห์ก็ไม่สมบูณณ์ เพราะพระเยซูเน้นว่าพระองค์จะมาอย่างไรผ่านพระธรรมวิวรณ์ใน คศ 90 
 ผู้เชื่อที่อ่านพระวจนะได้แต่งุน งง แต่เมื่อ เกิดประเทศอิสราเอลอีกครั้ง และการสร้างวิหารที่จะเกิดขึ้น จิ๊กซอลทั้งหลายก็ถูกขมวดเข้ามา ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น


ฉะนั้นผมสรุปเรื่องวิหารหลังที่สามมีความเกี่ยวข้องอย่างไรในการพยากรณ์ เรื่องปลายยุคก็คือ
1 วิหารหลังที่สามเป็นที่สิ่งน่าสะอิดสะเอียนมาวาง
2 วิหารหลังที่สามเป็นที่ปฎิปักษ์พระเมสิยาห์ จะมานั่งประกาศตัวเป็นพระเจ้า



พระเจ้าให้องค์ประกอบเรื่องเหตุการณ์ปลายยุคอีกหลายอย่าง นี่เป็นเพียงหนึ่งในหลายๆเรื่องที่เราสามารถสังเกตความหมายของยุคได้


 ถ้าหากใครมาบอกท่านว่า การเสด็จมาโมงนั้นเวลานั้นไม่มีใครรู้  อย่าได้สนใจ ก็ส่งยิ้มอ่อนๆให้เขา เพราะปีไหน เดือนไหน สัปดาห์ไหน เรารู้ได้ ถ้าเราเข้าใจความหมายของคำพยากรณ์



วันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2561


เรื่องโลกวิญญาณกับกลิ่น

2 คร 4:18 ด้วยว่าเราไม่ได้เห็นแก่สิ่งของที่เรามองเห็นอยู่ แต่เห็นแก่สิ่งของที่มองไม่เห็น เพราะว่าสิ่งของซึ่งมองเห็นอยู่นั้นเป็นของไม่ยั่งยืน แต่สิ่งซึ่งมองไม่เห็นนั้นก็ถาวรนิรันดร์
มีมิติสองสิ่งคือ สิ่งมอง เห็นกับ สิ่งซึ่งมองไม่เห็น สองอย่างนี้อยู่ในโลกคนละมิติฝ่ายวิญญาณ คู่ขนานกัน
ความต่างกันคือ  สิ่งที่ตามนุษย์มองไม่เห็นเป็นสิ่งที่ถาวร เหล่านี้ล้วนถูกนิยามเป็นนามอธรรม เช่น ความรัก ความยุติธรรม สัมผัสได้ด้วยใจอย่างเดียว เหล่านี้คงอยู่ถาวร 
แต่ทุกอย่างที่มองเห็นนั้น ต้องนับถอยหลังสู่วันพังพินาศไป  ไม่มีอะไรที่จะยืนหยัดอยู่ได้ 

ที่ที่ทรงสร้างในมิติฝ่ายเนื้อหนังนี้ มีกลิ่น หรือ เมื่อเผาก็เป็นกลิ่น ซึ่งแตกต่างกัน


ในโลกฝ่ายวิญญาณแบ่งเป็นสวรรค์ กับ เมืองบรมสุขเกษมหรือปากแดนคนตาย และโลกทั้งสองมิติ พระคัมภีร์เรียกว่าโลก ในฝ่าย สว่างและความมืด   ทั้งสองมิตินั้น ใช้ชีวิตที่ต่างกัน โลกในด้านมืดที่ถูกแยกในวันที่ 1ของการทรงสร้างนั้น  เป็นโลกของวิญญาณ



ซึ่งเกี่ยวกันภายใต้การปกครองของ สวรรค์ด้วย เช่นเดียวกับโลกในมิติสว่างหรือโลกเนื้อหนังนี้ 
ฉะนั้นในมิติความมืดนั้น ไม่ได้ใช้ชีวิตตามสิ่งที่ตาบนโลกมองเห็น แต่มีจริง

ฉะนั้นการติดต่อของโลกฝ่ายวิญญาณกับโลกฝ่ายเนื้อหนังนั้นต้องสื่อกันด้วยอะไรอย่างไร
ต้องสื่อด้วยสิ่งที่มองไม่เห็น เช่น  เสียง หรือกลิ่น เสียงจะมีอำนาจเมื่อมาจากจิตวิญญาณ
รวมถึงการกระทำทุกอย่างด้วยที่มาจากจิตวิญญาณ โลกวิญญาณรับรู้ได้ พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณพระองค์แสวงหาคนที่นมัสการพระองค์ด้วยจิตวิญญาณและความจริง ถ้าไม่ได้มาจากจิตวิญญาณ พระเจ้าก็ไม่รับ
และนอกจากนั้นก็คือ กลิ่น เป็นการแสดงออกประกอบจิตวิญญาณ จึงต้องมีการเผาถวายพระองค์ด้วย
ปฐก 8:21 พระเยโฮวาห์ได้ดมกลิ่นหอมหวาน และพระเยโฮวาห์ทรงดำริในพระทัยว่า "เราจะไม่สาปแช่งแผ่นดินอีกเพราะเหตุมนุษย์
ถ้าไม่ได้มาจากจิตวิญาณก็เป็นที่น่าชังของพระเจ้า
อมส 5:21 "เราเกลียดชัง เราดูหมิ่นบรรดาวันเทศกาลของเจ้า และจะไม่ดมกลิ่นในการประชุมอันศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าเลย
บนสวรรค์ เมืองบรมสุขเกษม ซึ่งไม่ใช่สวรรค์ที่พระทับพระเจ้าจริงๆ ก็มีการเผาเครื่องบูชา
และการเผาเครื่องบูชาตรงนี้ พระเจ้าได้ให้ทางโลกก็จำลองแบบบนสวรรค์ชั้นบรมสุขเกษมมา ผ่านทางระบบปุโรหิตของพระเจ้าในฝ่ายเนื้อหนังบนโลก
ฮบ 9:23 เหตุฉะนั้นจึงจำเป็นต้องชำระแบบจำลองของสวรรค์ โดยใช้เครื่องบูชาอย่างนี้ แต่ว่าของจริงในสวรรค์นั้น ต้องชำระด้วยเครื่องบูชาอันประเสริฐกว่าเครื่องบูชาเหล่านั้น
แบบจำลองสวรรค์ชั้นเมืองบรมสุขเกษมนั้นสร้างเพื่อให้สอดคล้องกับโลก เป็นการอธิบายสะท้อนโลกในฝ่ายจิตวิญาณที่โลกฝ่ายเนื้อหนังเข้าใจ แต่ในสวรรค์ของพระเจ้าต่างจากมิตินี้

ในวิวรณ์โลกสวรรค์ที่สะท้อนโลกเนื้อหนังบรรยายว่า
วว 5:8 เมื่อพระองค์ทรงรับหนังสือม้วนนั้นแล้ว สัตว์ทั้งสี่กับผู้อาวุโสยี่สิบสี่คนนั้นก็ทรุดตัวลงจำเพาะพระพักตร์พระเมษโปดก ทุกคนถือพิณเขาคู่และถือขันทองคำบรรจุเครื่องหอม ซึ่งเป็นคำอธิษฐานของพวกวิสุทธิชนทั้งปวง
คำอธิษฐานถูกแปลงออกมาเป็นเครื่องหอม เพื่อโลกสวรรค์ของพระเจ้าจะรับรู้
วว 8:3 และทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งถือกระถางไฟทองคำออกมายืนอยู่ที่แท่น และทรงประทานเครื่องหอมเป็นอันมากแก่ทูตองค์นั้น เพื่อให้ถวายร่วมกับคำอธิษฐานของวิสุทธิชนทั้งปวงบนแท่นทองคำที่อยู่หน้าพระที่นั่งนั้น และควันเครื่องหอมนั้นก็ลอยขึ้นไปพร้อมกับคำอธิษฐานของวิสุทธิชนทั้งหลาย จากมือทูตสวรรค์สู่เบื้องพระพักตร์ของพระเจ้า
คำอธิษฐานที่มาจากจิตวิญญาณเป็นเครื่องหอม เพื่อไร้รูปร่าง แต่สะท้อนเป็นกลิ่น สู่โลกฝ่ายวิญญาณ
นอกจากคำอธิษฐานสิ่งที่ทำมาจากจิตวิญาณทุกอย่างก็เป็นที่ถวายพระเจ้าเป็นกลิ่น
ฮบ 13:16 แต่อย่าลืมที่จะกระทำการดี และที่จะแบ่งปันข้าวของซึ่งกันและกัน เพราะเครื่องบูชาอย่างนั้นเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า
2 คร 2:15 เพราะว่าเราเป็นกลิ่นอันหอมหวานของพระคริสต์จำเพาะพระเจ้า ในหมู่คนที่รอด และในหมู่คนที่พินาศ

อฟ 5:2 และจงดำเนินชีวิตในความรักเหมือนดังที่พระคริสต์ได้ทรงรักเรา และทรงประทานพระองค์เองเพื่อเราให้เป็นเครื่องถวาย และเครื่องบูชาแด่พระเจ้าเพื่อเป็นกลิ่นสุคนธรสอันหอมหวาน
ในทางกลับกันโลกฝ่ายวิญาณด้านมืดก็รับสิ่งที่เป็นกลิ่นด้วย
2 คร 2:16 ฝ่ายหนึ่งเป็นกลิ่นแห่งความตายซึ่งนำไปสู่ความตาย และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นกลิ่นหอมแห่งชีวิตซึ่งนำไปสู่ชีวิต


การจะเข้าสู่พิธีที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญาณจึงต้องมีกลิ่นประกอบ
ไม่ว่าการเข้าหาพระเจ้า ก็ต้องแกว่งเครื่องหอมที่มีกลิ่น
หรือการทำธุระกับเหล่าวิญาณชั่วก็เรียกผีด้วยกลิ่นธูป
อสค 6:13 และเจ้าจะทราบว่าเราคือพระเยโฮวาห์ เมื่อคนที่ถูกฆ่านอนอยู่ท่ามกลางรูปเคารพของเขารอบแท่นบูชาของเขา บนเนินเขาสูงทุกแห่ง บนยอดเขาทั้งสิ้น ที่ใต้ต้นไม้เขียวทุกต้น และใต้ต้นโอ๊กใบดกทุกต้น ไม่ว่าที่ใดๆที่เขาถวายกลิ่นที่พึงใจแก่รูปเคารพทั้งสิ้นของเขา




สรรพสิ่งที่พระเจ้าสร้างจึงสร้างให้มีกลิ่นและสิ่งเหล่านั้นแยกว่าหอมหรือเหม็น
ใครเซนต์ฝ่ายวิญาณดีๆ จะสัมผัสถึงกลิ่น ว่าที่นี่พระวิญาณสถิตย์อยู่หรือมีแต่ภูผี หรือมีกลิ่นการล่วงประเวณี เช่นเดินเข้าไปในโรงแรมม่านรูดจะได้กลิ่นของการล่วงประเวณี    กลิ่นสาปผีโสโครกแถวป่าช้า   ห้องที่มีกลิ่นความเหม็นอับชื้นของวิญาณ ความขี้เกียจ  กลิ้นตัวจากของมลทินที่ทานเข้าไป  เช่นท่านทานสุนัขเข้าไป  สุนัขปรกติได้กลิ่นมันจะเห่าท่าน  เพราะมีสุนัขอยู่ในตัวท่าน   ความกลิ่นเป็นสิ่งที่สะท้อนสภาพฝ่ายวิญาณ  ในทางหลักวิทยาศาตร์ กลิ่นมาจากเหล่าสะสารละเหยที่วัดน้ำหนักไม่ได้
สิ่งที่เน่าเหม็นก็ไม่สามรถทำให้หอมได้ เพราะกลิ่นจะกระตุ้นกับสมองโยตรงว่านี่คือหอมสดชื่นหรือเหม็น 


ถ้าคุณได้ไปอยู่ในที่ไร้รูปเคารพ ท่ามกลางธรรมชาติ ร่างกายได้รับกลิ่นที่ดี มันก็ช่างเจริญจิตในจิตวิญญาณ จิตใจพองโตไปทุกส่วน

ขณะที่เดินอยู่ท่านเจอศาลพระภูมิตั้งเรียงราย กลิ่นจะเริ่มไม่สดชื่น ไม่มีใครกล้าสูดกลิ่นจากลมนั้นเข้าไปเต็มปอด  ลึกๆอาจจะกลัววิญญาณเหล่านั้นเข้าไปในร่างกาย  ท่านจะไม่รู้สึกสดชื่นเอาเสียเลย 


เพราะตอนที่พระเจ้าสร้างมนุษย์นั้นพระองค์ระบายลมหายใจของพระองค์เข้ามาในร่างกายมนุษย์
ในศูนย์ยากาศ มีจิตวิญญาณอีกมิติหนึ่งที่คู่ขนานไปกับเรา

เป็นเรื่องของโลกที่มองไม่เห็นแต่สัมผัสด้วยกลิ่น
กลิ่นเป็นอีกสิ่งที่มองไม่เห็นแต่จะอยู่ถึงโลกธาตุแตกสลายไปแล้ว ไฟของพระสิริพระเจ้าจะเผา การงานและทุกสิ่งเพื่อเป็นกลิ่นพิสูจน์การงานเหล่านั้นอยู่

chana chaiprasert