วันพฤหัสบดีที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

บัญญัติพระเจ้ากับเรื่องความสัมพันธ์ทางเพศ (กรณีล่วงประเวณี)
จากมุมมองจาก "ธรรมบัญญัติพระเจ้า"

ตอนที่ 1

ผู้เขียนเห็นว่าผู้เชื่อพระเจ้าหลายกลุ่มมีความเข้าใจกันคลาดเคลื่อนและไม่ชัดเจนหลายอย่างจากพระวจนะในเรื่องความบาปเรื่องการล่วงประเวณี  ทำให้เกิดการสร้างมาตรฐานใหม่ และสร้างเป็นบทบัญญัติของคริสตจักรขึ้นมาในการตัดสินความสมาชิก
โดยกล่าวอ้างว่านี่คือบทบัญญัติพระเจ้า พระวจนะพระเจ้ากล่าวเช่นนี้  ซึ่งมิใช่ประเด็นเรื่องการล้วงประเวณีเท่านั้นที่มีบทบัญญัติใหม่ๆขึ้นมา
แท้จริงแล้วเหล่านี้คือบทบัญญัติแบบฟาริสีที่กล่าวขึ้น พระเยซูมักตำหนิบ่อยๆ
เพราะความหวังดีของบทบัญญัติที่มนุษย์คิดขึ้นบ่อยครั้งไม่สอดคล้องกับพระบัญญัติพระเจ้า
นอกจากเป็นบทบัญญัติที่ไม่สมบูรณ์แล้ว ทำให้บทบัญญัติพระเจ้าถูกละเลยไป
เพราะแท้จริงแล้วการทำความเข้าใจเรื่องต่างๆต้องอยู่บนพื้นฐานพระเจ้าก่อน มิใช่ตามความดีความชอบของจริยธรรมมนุษย์
และเอาจริยธรรมมนุษย์มาสอนว่าเป็นคำสอนพระเจ้า ซึ่งอันนี้เป็นการวางแนวทางที่ผิด 

มธ.15:9 เขานมัสการเราโดยหาประโยชน์มิได้ ด้วยเอาบทบัญญัติของมนุษย์มาอวดอ้างว่า เป็นพระดำรัสสอน'"


ผมได้อ่านบทความเรื่อง
ความบาปเรื่องการล่วงประเวณี บทความหนึ่ง ซึ่งตีความหมายมาว่า
การล่วงประเวณีคือ การมีความสัมพันธ์ทางเพศทุกอย่างที่นอกเหนือจากการแต่งงาน 
และความบาปเรื่องการล่วงประเวณี หากจับได้และไม่กลับใจ แต่ละคริสตจักรก็มีบทลงโทษต่างๆกัน
บางคริสตจักรก้ไม่ให้รับบัพติสมา ไม่ให้รับมหาสนิท หรือลงวินัยหรือขับออกจากคริสตจักรไป
บ่อยครั้งการทำเช่นนั้นสร้างความข่มขื่นใจ แก่ผู้ที่กำลังเติบโตในพระเจ้า ทั้งผู้ร่วมเหตุการและผู้รับข้อมูล
และหลายครั้งที่ผู้เขียนเห็นทั้งผู้ออกกฎและผู้รับกรรม ต่างก็ไม่ได้เข้าใจบัญญัติพระเจ้าเลย

ผู้เขียนขอชี้แจงจากบัญญัติพระเจ้า ว่าอะไรคืออะไร
โดยจะไม่เขียนจากความเห็นของตนเอง  หรือสร้างบัญญัติขึ้นมาใหม่
เราทั้งหลายอยู่ภายใต้บัญญัติพระเจ้า พระเจ้าพิพากษาโลกตามบัญญัติพระองค์  ต้องแวะทำความเข้าใจตรงนี้สักนิด
หลายคนเรียนว่า บัญญัติไม่พิพากษาเราแล้ว  (นั่นก็ดีแล้วเราอย่าพิพากษาคนอื่น หรือสร้างบัญญัติไปพิพากษาคนอื่นอีก)
แต่ถ้าการไปสวรรค์นั้น  ไปทั้งๆที่เป็นคนล่วงประเวณีก็ไม่ได้ ขึ้นสวรรค์ทั้งที่ยังไหว้รูปเคารพก็ไม่ได้ เพราะเหล่านี้ผิดบัญญัติ

วว.22:14 คนทั้งหลายที่ประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ก็เป็นสุข เพื่อว่าเขาจะได้มีสิทธิ์ในต้นไม้แห่งชีวิต และเพื่อเขาจะได้เข้าไปในเมืองนั้นโดยทางประตู15 ด้วยว่าภายนอกนั้นมีสุนัข คนใช้เวทมนตร์ คนล่วงประเวณี ฆาตกร คนไหว้รูปเคารพ คนใดที่รักและกระทำการมุสา

การอยู่ในพระคุณพระเยซูจึงหมายถึงผิดบัญญัติไม่ได้  จึงยังอยู่ภายใต้การตัดสินของบัญญัติ เพราะ  
การผิดบัญญัติแปลว่าไม่กลับใจ การไม่กลับใจก็ไม่สามารถรับการอภัยได้ การกลับใจต้องพาชีวิตกลับมาที่มาตรฐานของพระเจ้านั่นคือบัญญัติของพระองค์
อีกมุมหนึ่งคือ ถ้าเรารับการอภัย  ได้รับพระคุณพระเยซู  หมายถึงเราเคยผิดบัญญัติ  เราจึงต้องมาเดินในบัญญัติให้ถูก  
ถ้าตั้งใจเดินให้ถูก แม้นล้มลง จะเข้าใจคำว่าพระคุณตรงนั้นคือผิดแต่อภัยให้
คนไม่เดินในบัญญัติก็ไม่พบพระคุณ จะพบได้อย่างไรเพราะไม่รู้บัญญัติก้ไม่รู้จักบาป  ไม่รู้จักบาปก็ไม่รู้ว่าตนเองบกพร่อง  
ไม่รู้ว่าตนเองบกพร่องก็ไม่มาถึงพระคุณพระเจ้า
บัญญัติจึงเป้นสิ่งที่สะท้อนน้ำพระทัยพระเจ้าให้ผู้ที่เชื่อเดินตามและรู้จักพระองค์

กลับมาสำหรับบัญญัติที่จะกล่าวถึงตอนนี้คือเรื่อง
บัญญัติที่ว่าด้วยการล่วงประเวณี
ความบาปล่วงประเวณี โทษก็คือ การเอาหินขว้างให้ตาย
ฉะนั้นการทำผิดหมายถึงความตาย  จึงเป็นบาปประเภทร้ายแรง  เรียกว่าเป็นบาปตาย
1 ยน 5:16 ถ้าผู้ใดเห็นพี่น้องของตนกระทำบาปอย่างหนึ่งอย่างใดที่ไม่นำไปสู่ความตาย ผู้นั้นจงขอ และพระองค์ก็จะทรงประทานชีวิตแก่ผู้นั้นที่ได้กระทำบาปซึ่งไม่ได้นำไปสู่ความตาย บาปที่นำไปสู่ความตายก็มี ข้าพเจ้ามิได้ว่าให้เขาอธิษฐานสำหรับบาปอย่างนั้น

ถ้าความเชื่อที่ว่าคนมีเพศสัมพันธ์นอกการแต่งงานคือล่วงประเวณี จะคิดแบบ
คนที่ไม่เข้าใจบัญญัติพระเจ้าจะ คิดว่า แบบนี้ก็ขว้างกันตายเป็นแถว
ยกตัวอย่างว่าถ้าอาจารย์ถามลูกศิษย์มหาวิทยาลัยในห้องว่าใครยังคงรักษาพรมจรรย์อยู่
อาจจะมีไม่ถึงครึ่งห้องที่ยกมือ ต้องเอาหินขว้างอีกครึ่งห้องให้ตาย
ครับ  หลักการนี้ไม่มีเปลี่ยนแปลง  ถ้าคุณจับคนในคริสตจักรได้ว่า เขาล่วงประเวณี 
มีสองสามปากเป็นพยาน เอาหินขว้างได้

พบญ 17:6 ผู้ที่ถูกกล่าวโทษถึงตายนั้น ให้มีพยานสองหรือสามปากยืนยันว่าผู้นั้นมีความผิด จึงให้ปรับโทษถึงตายได้ อย่าลงโทษผู้ใดถึงตายด้วยพยานปากเดียว

ในสมัยพระเยซูก็ยังคงใช้กฎนี้อยู่ และพระองค์ก็ไม่ปฎิเสธบัญญัติที่พระเจ้าตั้งขึ้นและไม่ลดมาตรฐาน
หลายคนจินตนาการว่า  แบบนี้คนที่ได้ชื่อว่าหญิงล่วงประเวณี หรือหญิงโสเภณี ในอิสราเอล
ทำไมจึงไม่มีใครเอาหินขว้างเธอเหล่านั้น เช่นนางมารีย์มักดารา หรือหญิงที่พระเยซูเจอที่บ่อน้ำ ทำไมยังลอยนวล

นั่นเพราะบัญญัติพระเจ้ากล่าวว่า จะกล่าวโทษใคร ต้องมีพยาน 2-3 ปาก
ถ้าไม่มีพยาน ก็ไม่มีการลงโทษ  เช่น ถ้ามีคนบอกว่าผมรู้ใช่ไหมคนนี้ทำบาป ไปร่วมเป็นพยานหน่อย
จะเอาหินขว้างเขา   ผมจะปฎิเสธการไปเป็นพยาน เพราะบัญญัติสอนให้รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ผมให้โอกาส
ลนต 19:18   แต่เจ้าจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง เราคือพระเยโฮวาห์
แต่ถ้าสุดๆแล้ว เห็นว่าควรกำจัด ชายหรือหญิงคนนี้เสีย เพื่อความสงบสุข ผมจะไปเป็นพยาน เพราะเห็นแก่ชุมชน
สภษ 17:9 บุคคลผู้ปิดบังการละเมิดก็เสาะหาความรัก แต่คนกล่าวเรื่องนั้นซ้ำซากก็ทำให้เพื่อนสนิทแยกจากกัน

พระเยซูจึงสอนว่าเมื่อท่านทำผิดท่านต้องไปไกล่กลี่ยกันก่อนอย่าให้ไปถึงศาล 
เพราะไปถึงศาลก็อาจจะเจอพยานที่เกลียดชังท่าน  ท่านก้ดิ้นไม่หลุด 
ฉะนั้นมีบาปคุยกันให้จบ อย่าไปถึงคนอื่น  แบบนี้ไม่เรียกการซ่อนบาปแต่เป็นการเคลียกันให้จบ
ไม่มีใครอยากทำบาป ทำบาปมาแล้วคุยกันกลับใจให้จบ  ก่อนไปถึงศาลสูง
มธ5:25 จงปรองดองกับคู่ความโดยเร็วขณะที่พากันไป เกลือกว่าในเวลาหนึ่งเวลาใด
คู่ความนั้นจะมอบท่านไว้กับผู้พิพากษา แล้วผู้พิพากษาจะมอบท่านไว้กับผู้คุม และท่านจะต้องถูกขังไว้ในเรือนจำ
ซึ่งสอดคล้องกับสุภาษิตได้สอนว่า
สภษ 25:9 จงตกลงเรื่องของเจ้ากับเพื่อนบ้านของเจ้า และอย่าทำให้เผยความลับของเขา

ฉะนั้นเราจึงเห็นคนที่ทำบาปล่วงประเวณี ใช้ชีวิตปรกติในอิสราเอล เพราะเขาไม่ได้ทำใครเดือดร้อนจนออกมาเป็นพยานเอาหินขว้าง
นอกเสียจากหญิงคนหนึ่ง ซึ่งอาจตกเป็นเครื่องมือของการพยายามดิสเครดิตรเรื่องความรักเพื่อนบ้านกับความสัตย์ซื่อต่อธรรมบัญญัติ ของพระเยซู  และพระเยซูก็สอบผ่านทั้งเรื่องความรักและเรื่องธรรมบัญญัติ  โดยคดีนั้นมีพยานแล้ว พร้อมจะขว้างแล้ว  เขาจึงนำมาหาพระเยซู  พระเยซูตรัสถึงหัวใจของการใช้ธรรมบัญญัติ ทรงชี้ไปที่ ดิน นั่งขีดเขียนซึ่งทุกคนเป็นดิน เท่าเทียมกัน  ทุกคนเกิดมาจากบาป ไม่มีใครชอบธรรมเพื่อจะกล่าวโทษใครได้  จึงตรัสว่า “ใครไม่เคยทำผิดบาปก็ขว้างก่อนคนแรก” ทุกคนจึงละไป “เพราะตระหนักได้”

ทุกครั้งที่จะกล่าวโทษใครอย่าลืมนึกถึงสิ่งที่พระเยซูตรัสคำนี้ เพราะถ้า “ใครไม่มีบาปก็ พิพากษาคนอื่นก่อนได้เลย”

ยน 8:10 เมื่อพระเยซูทรงลุกขึ้นแล้ว และมิได้ทอดพระเนตรเห็นผู้ใด เห็นแต่หญิงผู้นั้น พระองค์ตรัสกับนางว่า "หญิงเอ๋ย พวกเขาที่ฟ้องเจ้าไปไหนหมด ไม่มีใครเอาโทษเจ้าหรือ"
นางนั้นทูลว่า "พระองค์เจ้าข้า ไม่มีผู้ใดเลย" และพระเยซูตรัสกับนางว่า "เราก็ไม่เอาโทษเจ้าเหมือนกัน จงไปเถิด และอย่าทำบาปอีก"

ถ้าไม่มีใครกล่าวโทษ พระเจ้าก็ไม่เอาโทษ  ถ้ามีคนกล่าวโทษ พระเจ้าก็จำเป็นต้องพิพากษาเช่นกัน
ฉันใดฉันนั้น  คนของพระเจ้าก็ชอบฟ้องกันเอง พระเยซูจึงสอนว่าอย่ากล่าวโทษใคร  มีคนกล่าวโทษฟ้องท่านทั้งวันทั้งคืนอยู่แล้วคือมาร  ศคย 3:31 และซาตานยืนอยู่ข้างขวามือของท่าน จะฟ้องท่าน 
รีบไกล่เกลี่ยยกโทษต่อกันแล้วจบให้ไว อย่าให้มีการฟ้องร้องเกิดขึ้น
สภษ 28:13 บุคคลที่ซ่อนการละเมิดของตนจะไม่จำเริญ แต่บุคคลที่สารภาพและทิ้งความชั่วเสียจะได้ความกรุณา
และที่สำคัญที่พระเยซูทิ้งท้ายไว้เมื่อไกล่เกล่ยแล้วคือ  “อย่าทำอีก”
นี่เป็นวิธีการแก้ไขปัญหาเพื่อให้ได้ชีวิต
แต่ถ้าตัดสินด้วย ความรู้ดีรู้ชั่ว ไม่มีใครรอดแน่นอน

พระบัญญัติพระเจ้าไม่ลดความเข้มงวด แต่มนุษย์ต้องใช้ด้วยความรักในการรักษาบัญญัติ
1 ทธ 1:5 แต่จุดประสงค์แห่งพระบัญญัตินั้นก็คือ ความรักซึ่งเกิดจากใจอันบริสุทธิ์ และจากจิตสำนึกอันดี และจากความเชื่ออันจริงใจ


เรามาดูเรื่องบาปการล่วงประเวณีกันต่อ ในเรื่องที่คนมักเข้าใจผิดจากบัญญัติและไปสร้างกฎตัดสินผู้อื่น
ชี้แจงก่อนว่าการทำผิดทางเพศในการ ”ล่วงประเวณี” นั้น ไม่ใช่ทุกอย่างในการ”ร่วมประเวณี”นอกสมรสคือการ”ล่วงประเวณี” กฎบัญญัติพระเจ้าชี้ประเด็นต่างๆอย่างละเอียดว่าเป็นอย่างไร มีทั้งกรณีที่เป็นบาปเป็น และกรณีที่เป็นบาปตาย  ไม่ใช่ทุกอย่างคือล่วงประเวณีเอาหินขว้างหมดอย่างที่เข้าใจ
1ยน.5:17การอธรรมทุกอย่างเป็นบาป แต่บาปที่ไม่ได้นำไปสู่ความตายก็มี


 +++++ต่อตอนหน้าครับ++++++

ติดตาม
เรื่องบัญญัติพระเจ้ากับเรื่องความสัมพันธ์ทางเพศ เกี่ยวกับการล่วงประเวณี

ตอนที่1 http://faithful-creation.blogspot.com/2018/02/blog-post.html

ตอนที่ 2 http://faithful-creation.blogspot.com/2018/02/1-2-3-4-5-1-4422-2216-2217-2228-29-13.html

ตอนที่ 3 http://faithful-creation.blogspot.com/2018/02/3-2-2223-24-2-112-1310-2225-26-27-1717-p.html

ตอนที่ 4 http://faithful-creation.blogspot.com/2018/02/4-3-3.html
ตอนที่ 5 http://faithful-creation.blogspot.com/2018/02/5-5-196-518.html 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น