วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2561

ควรเปลี่ยนชื่อวันอิสเตอร์ เป็นวันแห่งการถวายผลแรก


ควรเปลี่ยนชื่อวันอิสเตอร์ เป็นวันแห่งการถวายผลแรก 


วันที่พระเยซูคริสต์ทรงฟื้นคืนพระชนม์เป็นวันที่เปี่ยมด้วยความหมายแห่งชัยชนะ ซึ่งผู้เชื่อได้รับความหวังใจในชีวิต  ทั้งชีวิตในโลกนี้และโลกหน้า ผู้เชื่อ
ว่าจะได้ฟื้นขึ้นเช่นพระเยซู   1 ปต 1:21 เพราะพระคริสต์ท่านจึงเชื่อในพระเจ้า ผู้ทรงบันดาลพระคริสต์ให้ฟื้นจากความตาย และทรงประทานสง่าราศีแก่พระองค์ เพื่อให้ความเชื่อและความหวังใจของท่านดำรงอยู่ในพระเจ้า

 และการฟื้นขึ้นครั้งนี้เองเป็นประกาศชัยชนะเหนือความบาป  เพราะผลความบาปคือความตาย พระองค์ทรงรับความตายเพื่อผู้เชื่อนั้นจะได้ชีวิต หลุดพ้นจากพันธนาการ การปรักปรำของบาป

1คธ 15, 54 เมื่อสิ่งซึ่งเปื่อยเน่านี้จะสวมซึ่งไม่เปื่อยเน่า และซึ่งจะตายนี้จะสวมซึ่งไม่รู้จักตาย เมื่อนั้นตามซึ่งเขียนไว้แล้วจะสำเร็จว่า `ความตายก็ถูกกลืนไปด้วยการมีชัย'
55 โอ ความตาย เหล็กไนของเจ้าอยู่ที่ไหน โอ หลุมฝังศพ ชัยชนะของเจ้าอยู่ที่ไหน
56 เหล็กไนของความตายนั้นคือบาป และฤทธิ์ของบาปคือพระราชบัญญัติ
57 แต่จงขอบพระคุณแด่พระเจ้า ผู้ทรงประทานชัยชนะแก่เราทั้งหลายโดยพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา

ชีวิตหลังความตายเป็นชีวิตที่ได้รับชัยชนะ และผู้ติดตามนามของพระคริสต์ก็จะมีชัยชนะร่วมกับพระองค์

ฟป2,8 และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลง ยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งความมรณาที่กางเขน
เหตุฉะนั้นพระเจ้าจึงได้ทรงยกพระองค์ขึ้นอย่างสูงที่สุดด้วย และได้ทรงประทานพระนามเหนือนามทั้งปวงให้แก่พระองค์
10 เพื่อ `หัวเข่าทุกหัวเข่า' ในสวรรค์ก็ดี ที่แผ่นดินโลกก็ดี ใต้พื้นแผ่นดินโลกก็ดี `จะต้องคุกกราบลง' นมัสการในพระนามแห่งพระเยซูนั้น
11 และเพื่อ `ลิ้นทุกลิ้นจะยอมรับ' ว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า อันเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าพระบิดา

และผู้เชื่อถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมร่วมกับพระองค์ด้วยความเชื่อถึงชัยชนะนั้น และไม่เป้นทาสของบาปอีกต่อไป
รม 4:25 คือพระองค์ผู้ทรงถูกมอบไว้เพราะการละเมิดของเรา และได้ทรงฟื้นขึ้นจากความตายเพื่อให้เราเป็นคนชอบธรรม


เหล่านี้คือคำนำและความหมายเบื้องต้นที่ผู้เชื่อควรทราบและตระหนัก เป็นสิ่งที่พระเจ้าหยิบยื่นให้
ชัยชนะของพระเยซูคริสต์นั้นพระเจ้าได้กำหนดเอาไว้อย่างมีขั้นตอนในแผนการของพระองค์
ไม่ใช่เป็นชัยชนะที่สร้างขึ้นโดยบังเอิญ แต่ถูกออกแบบ โดยพระเจ้า
เพื่อการลำลึกถึงอย่างมีความหมายเราจึงมาศึกษาเรียนรู้กันว่า พระเจ้าทรงวางแผนการอย่างไร
และต้องการให้ประชากรของพระองค์ตอบสนองอย่างไร  เพื่อรับพระพรเต็มที่ในวันแห่งชัยชนะนี้
และไม่ถูกปล้นพระพรไปด้วยการหลงไปกับการนมัสการปรนนิบัติรูปเคารพ ซึ่งทำให้พระเจ้าเสื่อมเกียรติ


เมื่อพระเจ้าทรงเรียกอิสราเอลออกจาการเป็นทาสนั้น
พระองค์ทรงกำหนดวันเวลาเอาไว้ใน 
(อพย 12) นั่นคือวันที่ 14 ของเดือนแรก (เดือนนิสา) เป็นเทศกาลปัสกา
ปัสกา Passover หรือชื่อเดิม เพซัค Pesach(ภาษาฮิบรู)
ชาวอิสราเอลจะฆ่าลูกแกะและเอาเลือดมาทาที่ประตู  เพื่อให้มัจจุราชนั้นผ่านไป
คืนนั้นชาวอิสราเอลจะเลี้ยงกันโดยกินอาหารคือขนมปังไร้เชื้อและผักขม
คืนนั้นพระเจ้าทรงให้มัจจุราชสังหารบุตรหัวปีชาวอียิปต์ทุกคน
ซึ่งนำมาถึงการปลดปล่อยชาวอิสราเอลจากทาสเป็นไทย
โดยการเข้าร่วมปัสกานั้น ผู้ชายต้องผ่านการสุหนัตก่อนเท่านั้น

ความหมายของปัสกา
อพย12,26 ครั้นสืบไปภายหน้าเมื่อลูกหลานของท่านถามว่า `พิธีนี้หมายความว่ากระไร'
7 ท่านทั้งหลายจงตอบว่า `เป็นการถวายสัตวบูชาปัสกาแด่พระเยโฮวาห์ ผู้ทรงผ่านเว้นบ้านของชนชาติอิสราเอลในอียิปต์ 
เมื่อพระองค์ทรงประหารคนอียิปต์ แต่ไว้ชีวิตครอบครัวของเราทั้งหลาย'"


แกะปัสกา หมายถึงพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นแกะบูชาถวายแดพระเจ้าเพื่อยกโทษบาป ยน 1:29 วันรุ่งขึ้นยอห์นเห็นพระเยซูกำลังเสด็จมาทางท่าน ท่านจึงกล่าวว่า "จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับความผิดบาปของโลกไปเสีย
เลือด หมายถึงพันธสัญญาแห่งการช่วยกู้

ขนมปังไร้เชื้อ เล็งถึงความบริสุทธิ์และความจริงใจ  1 คร 5:7 ดังนั้นจงชำระเชื้อเก่าเสียเพื่อท่านจะได้เป็นแป้งดิบก้อนใหม่เหมือนขนมปังไร้เชื้อ เพราะพระคริสต์ผู้ทรงเป็นปัสกาของเรา ได้ถูกฆ่าบูชาเพื่อเราเสียแล้ว
8เหตุฉะนั้นให้เราถือปัสกานั้น มิใช่ด้วยเชื้อเก่าหรือด้วยเชื้อของความชั่วช้าเลวทราม แต่ด้วยขนมปังไร้เชื้อคือความจริงใจและความจริง

และเป็นขนมปังแห่งความรีบเร่งที่จะปลดปล่อยจากการเป็นทาส อพย12,39
และผักรสขม เพื่อละลึกถึงความขมขื่นแห่งการเป็นทาส  

อพย12,24 ท่านทั้งหลายจงถือพิธีนี้ให้เป็นกฎถาวรของท่านและของลูกหลานท่าน

เปาโลได้ให้ทรรศนะว่าพิธีเทศกาต่างๆนั้นเป้นเงาที่เล็งถึงในอนาคต คศ2:16-17
ซึ่งปัสกานั้นก้เล็งถึงพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นแกะปัสกา

พระเยซูทรงร่วมพิธีนี้เสมอจนก่อนปัสกา สุดท้ายของพระองค์ที่จะมาถึง
กดว9,11 ให้ถือปัสกาในเดือนที่สองวันขึ้นสิบสี่ค่ำเวลาเย็น ให้เขากินขนมปังไร้เชื้อและผักรสขม

เรามาดูช่วงเวลาของพระเยซูในเทสกาลปัสกาสุดท้ายนั้น
วันที่ 12  อีกสองวันจะถึงเทศกาลปัสกา  มธ2:6-2 พระองค์ไปเตรียมบ้านสำหรับปัสกา
ในวันที่ 13 เดือนนิสาเริ่มนับเวลาหัวค่ำพระองค์ทรงร่วมหักขนมปังกับสาวกและกล่าวถึงพันธสัญญาใหม่ที่พระองค์โปรดประทานให้
คืนนั้นพระองค์ถูกจับ ไปไต่สวน และพระองค์ทรงถูกจับไปตรึงเป็นเสมือนแกะของปัสกา วันนั้นเป็นวันเตรียมปัสกา ยน19:14

ในวันที่ 14 (นับหลังดวงอาทิตย์ตกดิน) เป็นเวลาแห่งปัสกา และหลังจากวันปัสกาก็ เข้าสู่วันที่ 15 วันสะบาโต 
วันที่ 16 เดือนนิสานคืนนั้นเป็นวันที่พระเยซูคริสตืฟื้นขึ้น

รวมพระองค์สิ้นพระชนม์วันที่ 13 คืนที่ 16 รวม 3 วัน 3 คืน



ฉะนั้นการกำหนดวันฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูจะไม่ตรงกับปฎิทินสากลในทุกปี 
เพราะพระเจ้าทรงให้นับวันด้วยดวงจันทร์หรือที่เรียกว่าตามปฎิทินจันทรคตินั่นเอง

10 "จงกล่าวแก่คนอิสราเอลว่า เมื่อเจ้ามาถึงแผ่นดินซึ่งเราให้เจ้า และเกี่ยวพืชผลของแผ่นดินนั้น เจ้าจงเอาฟ่อนข้าวที่เกี่ยวในรุ่นแรกนำไปให้ปุโรหิต

11 และปุโรหิตจะนำฟ่อนข้าวนั้น แกว่งไปแกว่งมาถวายต่อพระพักตร์พระเยโฮวาห์ เพื่อเจ้าจะเป็นที่โปรดปราน รุ่งขึ้นหลังวันสะบาโตปุโรหิตจะแกว่งถวาย

วันที่พระเยซูฟื้นเป็นวันหลังจากสะบาโต  ความหมายจึงเป็นการถวายผลแรกแด่พระเจ้า  เราควรเรียกว่าวันถวายผลแรก ไม่ใช่วันอิสเตอร์


ความเปลี่ยนแปลง ที่ทำให้วันแห่งการถวายผลแรกเป็นวันที่เอาการนมัสการรูปเคารพมาเกี่ยวข้อง

เมื่อการประกาศเรื่องพระเยซูคริสต์ไปถึงชาวโรมและได้เกิดการยอมรับขึ้นใน คศ 300
ชาวโรมได้พยายามรวมความเชื่อระหว่างลัทธิ มิทรา (บูชาเทพเจ้า) กับความเชื่อของพระเจ้าเข้าด้วยกัน
เช่นการเปลี่ยนเพื่อนมัสการพระเจ้า ดดยเปลี่ยนไปใช้วันอาทิตย์ซึ่งชาวโรมหยุดเพื่อนมัสการสุริยะเทพ
การลบล้างประเพณีเทศกาลของอิสราเอลและใส่ประเพณีของโรมมันเข้าไปแทน  ทั้งนี้เพื่อจะสร้างศาสนาใหม่คือศาสนาโรมมันคาทอลิก
ประเพณีเทศกาลของวัตนธรรมโรมจึงเข้ามามีบทบาทกับผู้เชื่อ
เช่นเทศกาลคริสมาส ดัดแปลงมาจากการนมัสการเจ้าพ่อทัมมุสสุริยะเทพ และเทศกาลบูชาเทพีอิสเตอร์ ใช้เพื่อระลึกถึงการฟื้นคืนพระชนม์

เทพีอิสเตอร์ คือเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์  ซึ่งในแต่ละประเทศก็จะมีเทพีประเภทนี้แต่ถุเรียกในชื่อต่างๆกันไป เช่นกรีกเรียก อาเทมีส  คนไทยเรียกเจ้าแม่โพสพ 
อิสเตอร์เป็นชื่อเรียกเทพีแห่งความอุดมสมบูรณ์นี้จากทางยุโรบ ซึ่งช่วงเทศกาลอิสเตอร์จะอยู่ในช่วงเวลาเดียวกับปัสกา เพราะเป็นฤดูเก็บเกี่ยวและถวายผลแรก


หากเรานมัสการอิสเตอร์ก็เท่ากับถวายผลแรกให้เทพอิสเตอร์
อิสเตอร์มีสัญลักษณ์ในการนมัสการคือไข่  หมายถึงความอุดมสมบูรณ์  เช่นเดียวกับอาเทมีส ซึ่งผู้เชื่อในพระเจ้านิยมมาเล่นในคริสตจักร ซึ่งแท้จริงคือรูปแบบการนมัสการเทพเจ้าอิสเตอร์  เมื่อนมัสการเจ้าแม่อิสเตอร์ พระพรก็ไปแล้ว


  
และอิสเตอร์มีหัวเป็นกระต่าย หมายถึงเป็นเทพีแห่งเพศ (กระต่ายร่วมเพศได้ทุกฤดูกาล ) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเพลบอยเช่นกัน เป็นความหมายว่ามีกำลังร่วมเพศสร้างลูกหลาน

อิสราเอลก็มีการนับถือพระเเม่ประเภทนี้อยู่ ใช้ชื่อว่า พระ อัชทาโรท หรือเจ้าแม่แห่งฟ้าสรรค์ เป็นเทพประทานพรแก่ผลผลิต
วนฉ 2:13 เขาทั้งหลายละทิ้งพระเยโฮวาห์ไปปรนนิบัติพระบาอัล และพวกพระอัชทาโรท
วนฉ 10:6 คนอิสราเอลก็กระทำชั่วในสายพระเนตรของพระเยโฮวาห์อีก ไปปรนนิบัติพระบาอัล พระอัชทาโรท วกพระของเมืองซีเรีย
เหล่านี้เป็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนต่อพระเจ้า
ยรม 44:17 แต่เราจะกระทำทุกสิ่งที่เราได้พูดไว้ คือเผาเครื่องหอมถวายเจ้าแม่แห่งฟ้าสวรรค์ และเทเครื่องดื่มถวายแก่พระนางเจ้าดังที่เราได้กระทำ ทั้งพวกเราและบรรพบุรุษของเรา บรรดากษัตริย์และเจ้านายของเรา ในหัวเมืองยูดาห์และในถนนหนทางกรุงเยรูซาเล็ม ทำอย่างนั้นแล้วเราจึงมีอาหารบริบูรณ์และอยู่เย็นเป็นสุข และไม่เห็นเหตุร้ายอย่างใด
18ตั้งแต่เรางดการเผาเครื่องหอมถวายเจ้าแม่แห่งฟ้าสวรรค์ และเทเครื่องดื่มถวายแก่พระนางเจ้า เราก็ขัดสนทุกอย่าง และถูกผลาญด้วยดาบและด้วยการกันดารอาหาร
ยรม 7:18 พวกเด็กๆก็เก็บฟืน พวกพ่อก็ก่อไฟ พวกผู้หญิงก็นวดแป้ง เพื่อทำขนมถวายแด่เจ้าแม่แห่งฟ้าสวรรค์ และเขาเทเครื่องดื่มบูชาถวายแด่พระอื่นๆ เพื่อยั่วยุให้เราโกรธ"

ศาสนาโรมันคาทอลิกได้เอาเทศกาลเหล่านี้ผนวกกับเทศกาลของพระเจ้าคือปัสกา
และเอาปัสกาทิ้งไป แต่เอาเนื้อหาของพระคริสต์ อ้าง ผสมกับการนมัสการเทพีอิสเตอร์  ทำให้ผู้เชื่อ งง จนแยกไม่ออก
ซาโลมอนแม้นมีสติปัญยายัง ตามพระเหล่านี้ไป 
1 พกษ 11:5 เพราะซาโลมอนทรงดำเนินตามพระอัชโทเรท พระแม่เจ้าของคนไซดอน และตามพระมิลโคมสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนของคนอัมโมน



ในยุคสมัยของการปฎิรูปศาสนาโดยมาตินลูเธอร์ ได้เกิดความเชื่อแบบโปรแตสแตนท์ขึ้นมา
แต่คริสตจักรโปรแตสแตนท์ ก็ยังคงรับวัฒนธรรมเหล่านี้  เพราะรากความเชื่อต่างๆมาจากโรมมันคาทอลิก

หากเราเป็นผู้เชื่อที่ไม่อยากเดินในสิ่งที่พระเจ้าสะอิดสะเอียน ก็ถึงเวลาที่ต้องปฎิวัติตัวเอง
ปฎิวัติพระเพณี ที่ผิดเพื่อนำสิ่งที่ถูกต้องกลับมา  การรับขนมปังและน้ำองุ่น ในเทศกาลการปัสกา เพื่อระลึกถึงพระคริสต์ผู้เป็นเป้าหมายปัสกา
มีความหมายมากกว่าเอาไข่ไปซ่อนแน่นอน


เมื่อเรารู้ความจริงแล้วการตอบตอบสนองก็มีแค่เปลี่ยนแปลงหรือยอมให้หลอกกันต่อไปเท่านั้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น